ไม่นานก็มีเสียงสั่นเครือของหญิงสาวดังออกมาจากข้างใน “ไร้เหตุผลสิ้นดี ข้าไม่รู้เลยว่าพวกเจ้าไปเอาตราประทับสกุลเสิ่นของข้ามาจากที่ใด แต่ท่านพ่อข้าไม่เคยยืมเงินก้อนนี้เลย”
จากน้ำเสียงนี้ฟังออกว่านางกำลังพยายามปกปิดอาการสั่นเทาของตนเอง
ได้ยินคำพูดนี้แล้วลู่เยี่ยนก็เลิกหัวคิ้วเล็กน้อย
ดูสิ นี่คือหญิงสูงศักดิ์ที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดีในตระกูลใหญ่
เวลาด่าคน คำว่า ‘ไร้เหตุผลสิ้นดี’ ก็ถือเป็นที่สุดแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาอยู่ในที่ว่าการนครหลวงนานใช่หรือไม่จึงได้เห็นหญิงหยาบคายไร้เหตุผลมามาก เมื่อได้ยินคำพูดแนวอารยะเช่นนี้จึงรู้สึกแปลกใหม่
ที่แตกต่างกับลู่เยี่ยน เสียงอ่อนหวานน่าสงสารของเสิ่นเจินทำให้ชายหนุ่มรอบๆ ไม่น้อยเกิดความสงสารขึ้นมา ทางซ้ายสุดยังมีบัณฑิตยากจนสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายกำหมัดกระแทกเท้าอยู่ข้างๆ หลายครั้งที่อยากจะเอ่ยปาก แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ขอบตาแดงเดินจากไป
วีรบุรุษช่วยสาวงามใครล้วนอยากเป็น แต่ไม่ใช่ใครก็สามารถทำได้
อย่างไรเสียหนี้ที่เสิ่นเจินแบกรับไว้ มีบางคนขายเรือนขายทรัพย์แล้วยังไม่พอคืนเลยด้วยซ้ำ
ทางด้านนี้หลงจู๊จินหัวเราะเย็นชาพลางตะโกนพูดอีกว่า “พวกเราร้านแลกเงินสกุลจิน ที่ผ่านมาจะพูดจาอะไรล้วนมีหลักฐาน หากคุณหนูสามไม่พอใจก็แจ้งทางการได้” พูดจบเขาก็ยกมือขึ้นทำสัญญาณ
พอเห็นสัญญาณมือแล้วชายฉกรรจ์หลายคนข้างหลังเขาก็มองหน้ากัน จากนั้นมีคนหนึ่งถือกระบอง เดินเข้าประตูใหญ่ ตวัดมือลงไปบนขวดกระเบื้องเคลือบที่ใส่ผงหอมไว้เต็มขวดเหล่านั้น
ขวดกระเบื้องเคลือบตกพื้นแตก ผงหอมกระจายทั่วพื้น
เห็นคนก่อเรื่องใหญ่โตแบบนี้ ลู่เยี่ยนที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะเยาะหยันออกมา ชายหนุ่มหลายคนข่มขู่หญิงสาวอายุสิบกว่าปีผู้หนึ่งถือเป็นการกระทำแบบไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกลแล้ว
พอสายตาของเขาเหลือบมองมาหยางจงก็เข้าใจความหมายของผู้เป็นนายทันที จึงเดินเข้าไปพูดว่า “หลงจู๊จิน ใต้เท้าของพวกเรามีเรื่องอยากถามสักหน่อย”
เสียงนี้ไม่เบา ทุกคนจึงพากันมองมาทางนี้ทันที
หลงจู๊จินกำลังบ่นในใจว่าขุนนางชั้นผู้น้อยคนใดไม่มีตากล้ามาขัดขวางเรื่องของเขา คิดไม่ถึงว่าพอหันกลับมาก็ตกตะลึงไปทันที
นี่ซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกง? มาได้อย่างไรกัน!
ดวงตาหลุกหลิกของหลงจู๊จินหรี่ลง จากนั้นก็ราวกับเพิ่งสร่างเมา รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันใด “ขอถามใต้เท้าลู่ว่าจะถามอะไรข้าน้อยหรือขอรับ”
ลู่เยี่ยนแววตายากจะคาดเดาได้ ช้อนตาส่งสัญญาณให้คนด้านหลังเขาทีหนึ่งและพูดเสียงเข้มว่า “นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
หลงจู๊จินรีบเดินเข้าไปหา คลี่ใบยืมเงินที่ถืออยู่ในมือมอบให้กับลู่เยี่ยน “ใต้เท้าลู่อย่าเข้าใจผิดนะขอรับ พวกเราล้วนทำตามกฎระเบียบ นี่คือหลักฐานลายลักษณ์อักษร”
ลู่เยี่ยนก้มหน้ากวาดมองวันที่ที่ส่วนท้ายแวบหนึ่งแล้วพูดเหยียดเย็นชา “เวลาที่กำหนดนี้มันอีกห้าวันไม่ใช่หรือ”
ถูกถามเช่นนี้หลงจู๊จินสีหน้านิ่งไปเล็กน้อย แต่ยังยิ้มอย่างคนช่ำชองโลกพลางพูดว่า “เงินจำนวนแปดพันก้วนนี้ ต่อให้รอถึงเดือนหน้าสกุลเสิ่นของพวกเขาก็หามาไม่ได้เช่นกัน เป็นหนี้ช้าเร็วก็ต้องคืน ผลสุดท้ายก็เหมือนกัน”
ลู่เยี่ยนคืนใบยืมเงินใส่มือของอีกฝ่ายพร้อมพูดไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย “อย่างไรก็ต้องทำตามกฎระเบียบ เช่นนั้นเจ้ารออีกห้าวันค่อยมาใหม่เถอะ”
ได้ยินคำพูดนี้แล้วหลงจู๊จินก็สะอึกไป เขาจับทางไม่ถูกจริงๆ ว่าซื่อจื่อสูงศักดิ์งามสง่าผู้นี้มีจุดประสงค์อะไร ต้องการปกป้องคุณหนูสามหรือว่าทำงานตามหน้าที่?
แต่เขาจะถามออกมาได้หรือ