หลังจากผ่านวันหยุด ลู่เยี่ยนก็ไปเข้างานที่ที่ว่าการนครหลวงตามปกติ
เสียงกลองข้างนอกดังสนั่น สามีภรรยาคู่หนึ่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างนอก ยังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งคุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้นอยู่นาน ปากก็ตะโกนไม่หยุดว่า “คืนน้องสาวข้า! คืนน้องสาวข้ามา!”
ลู่เยี่ยนถือพู่กันเขียนเอกสาร รองผู้ว่าการซุนเดินวนไปมาในห้อง จากตะวันออกไปตะวันตก วนไปมาหลายรอบ สุดท้ายทนไม่ไหวพูดขึ้น
“เหตุใดใต้เท้าลู่จึงไม่ร้อนใจบ้าง เมืองฉางอันระยะนี้ พูดให้น้อยก็มีหญิงสาวจากหกบ้านหายตัวไปแล้ว นอกจากศพผู้หญิงสองศพที่ไม่มีใครมาแจ้งความที่หาเจอในบ้านของหวังจ้าวแล้ว เรื่องอื่นไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ช้าเร็วเรื่องต้องไปถึงฝ่าบาทแน่นอน”
“ใต้เท้าซุน ต่อให้เดินเป็นร้อยรอบ คดีนี้ก็ยังคลี่คลายไม่ได้อยู่ดี” ลู่เยี่ยนพูดอย่างสงบนิ่ง
ซุนซวี่สะอึกไป ลอบตำหนิอยู่ในใจว่า ใช่ ท่านต้องเรียกฝ่าบาทว่าเสด็จลุง ต่อให้เกิดเรื่องใหญ่โตเพียงใด หมวกแพรโปร่งของท่านก็ไม่หลุดอยู่แล้วนี่*
ทางซุนซวี่เพิ่งจะส่ายหน้าก็มีเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นกลับมา “ใต้เท้า มีข่าวดีขอรับ!”
“รีบว่ามา” รองผู้ว่าการซุนพูด
“มีคนพบบุตรสาวสกุลซ่งที่หายตัวไปที่เมืองซิงผิง นางถูกท่านหมอผู้หนึ่งช่วยเอาไว้ ยังไม่ตายขอรับ”
ลู่เยี่ยนกับซุนซวี่ประสานสายตากันแล้วลุกขึ้นในทันที
พวกเขาเดิมทีวันนี้คาดว่าจะสามารถสอบสวนได้ แต่พอไปถึงร้านหมอจึงพบว่าบุตรสาวสกุลซ่งผู้นี้บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผล นอนหมดสติอยู่ สามีภรรยาสกุลซ่งกอดบุตรสาวน้ำตานองหน้า
จนกระทั่งถึงยามเซินนางก็ยังไม่ฟื้น
รองผู้ว่าการซุนพูดกับลู่เยี่ยนอย่างจนใจว่า “ดูท่าคงต้องมาพรุ่งนี้อีกครั้งแล้ว”
เวลาพลบค่ำ หลังที่ว่าการเลิกงาน
ลู่เยี่ยนสวมเสื้อคลุมเดินออกจากที่ว่าการนครหลวง
เขาก้มหน้าคลึงหัวคิ้ว สั่งให้เตรียมรถม้า หลังจากขึ้นรถม้าแล้วก็เคลื่อนไปทางจวนเจิ้นกั๋วกง
เคลื่อนไปได้ครึ่งทางหยางจงก็พลิกเปิดม่านและพูดเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อ สองวันแล้ว คนผู้นั้นยังตามอยู่เหมือนเดิมขอรับ”
ลู่เยี่ยนหน้าเครียด ในใจเกิดความรำคาญเพิ่มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เริ่มแรก เขายังคิดว่าคนที่ลับๆ ล่อๆ นี้จะเกี่ยวกับคดี แต่ภายหลังได้ยินว่าสาวใช้ข้างกายบุตรสาวสกุลเมิ่งมักจะมาปรากฏตัวที่เรือนพักของเขา ทั้งยังสอบถามว่าเขามีสาวใช้ห้องข้างหรือไม่ จึงรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว
เขายังไม่ทันพยักหน้าเห็นด้วย ผู้อื่นก็คิดจะควบคุมเขาแล้ว
แต่มือนี้ยื่นมายาวเกินไปสักหน่อยหรือไม่
เขาเหล่มองไปข้างนอกอย่างช้าๆ จากนั้นพูดเสียงเบาว่า “วันนี้ไปคฤหาสน์เฉิงย่วน แต่ไปวนรอบผิงคังฟางนั่นหนึ่งรอบแล้วค่อยเปลี่ยนรถม้า”
หยางจงพยักหน้ารับคำ ในใจบ่นว่า บุตรสาวสกุลเมิ่งนางนี้เหตุใดจึงทำเป็นฉลาดหนอ ซื่อจื่อกว่าจะคิดตกเรื่องการแต่งงานไม่ง่ายนัก ถูกนางทำแบบนี้เกรงว่านางคงหมดโอกาสได้แต่งให้ซื่อจื่ออย่างสิ้นเชิงแล้ว