สีท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีดำ ตอนลู่เยี่ยนไปถึงคฤหาสน์เฉิงย่วนต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
วันนี้ในเรือนจุดตะเกียงไว้ทั่ว หิมะหนาเป็นชั้นๆ บนหลังคาบ้านยังค่อยๆ ละลายภายใต้แสงสีแดงนี้
เขาเดินหน้าช้าๆ และผลักเปิดประตู
หญิงสาวที่เดิมทีควรจะอยู่ในห้องอย่างไม่เป็นสุข จู่ๆ ก็เปลี่ยนชุดใหม่ เสื้อนวมสีดอกท้อ กระโปรงหรูฉวิน* เนื้อแพรสีขาว ตอนเสียงประตูดังแอดนางกำลังส่องกระจกและใส่ต่างหูอยู่
แสงเทียนส่องสว่างตกกระทบใบหน้าขาวเนียนของนาง มุมปากนุ่มชมพูยกยิ้มเล็กน้อย ตอนที่นางมองมาทางเขา ราวกับภาพหญิงงามภาพหนึ่งอยู่ท่ามกลางหมอก นางกลอกตามองมา ดูสง่างามและสวยหยาดเยิ้มอย่างยิ่ง
เหมือนนาง แต่ก็คล้ายไม่ใช่นาง
ชายหนุ่มบนโลกนี้มีใครบ้างไม่รู้หลักการที่ว่าหญิงสาวแต่งตัวงดงามเพื่อคนที่ตนเองชื่นชอบ
ลู่เยี่ยนชะงักฝีเท้า เอียงตัวพิงขอบประตูมองสำรวจนาง เสื้อผ้าเรียบร้อยงดงาม สีหน้าเป็นปกติถึงขั้นยังแฝงความหยิ่งทะนงที่เขามักจะทำเป็นปกติ
สี่ตาประสานกัน เสิ่นเจินค่อยๆ ลุกขึ้น เดินมาข้างกายเขาและส่งเสียงเรียกอ่อนหวาน “ใต้เท้า”
เสียงของเสิ่นเจินมีความออดอ้อนเป็นธรรมชาติเพื่อให้ดูสง่างามเรียบร้อย ปกติมักจะจงใจกดเสียงต่ำ
วันนี้ปล่อยตามสบาย แค่เพียงการเรียก ‘ใต้เท้า’ เสียงเรียบนี้อาจทำให้อ่อนระทวยไปถึงกระดูกได้เลย
เป็นเพราะนางคิดตกแล้ว ในเมื่อต้องขอร้องเขา ต่อให้นางนิ่งอย่างไร หลบอย่างไร หากหลบจนเขาจากไปแล้วหงเอ๋อร์จะทำอย่างไรเล่า
สู้ยอมทำตามใจเขาดีกว่า เสิ่นเจินคิด
ลู่เยี่ยนเห็นนางไม่พูดอะไรต่อเสียทีจึงเดินผ่านตัวนาง ตรงเข้าไปข้างในและนั่งลงบนเตียงในทันที
เสิ่นเจินกัดริมฝีปากเบาๆ จากนั้นนั่งลงข้างกายเขา
แววตาลึกล้ำของลู่เยี่ยนมองสำรวจนาง ไม่เกี่ยวกับความปรารถนา เป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น
ตามหลักแล้วเสิ่นเจินเติบโตในจวนโหวตั้งแต่เด็ก ได้พบราชนิกุลสูงศักดิ์ ขุนนางชั้นสูงมานับไม่ถ้วน ไม่ควรถูกท่าทีแบบนี้ทำให้ตกใจกลัวจึงจะถูก แต่สายตาของลู่เยี่ยนผู้นี้นางมองอะไรไม่ออกเลยจริงๆ
สิ่งที่มองไม่ทะลุปรุโปร่งก็เหมือนมีฝนฟ้าคะนองตกลงมาอย่างฉับพลัน เหมือนท้องทะเลที่ลึกมองไม่เห็นก้นบึ้ง เหมือนที่นางกลายมาเป็นภรรยาลับของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว ย่อมต้องมีความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นบ้าง
ปลายนิ้วของเสิ่นเจินเพิ่งสั่นก็ถูกตนเองบีบเอาไว้จนแน่น
เขาจ้องมองนางอยู่นาน ทันใดนั้นก็เอ่ยปากพูด “บนตัวเจ้า เหตุใดถึงมีถุงหอมมากมายอย่างนั้น” ตรงหน้าอกหนึ่งใบ ตรงกระโปรงหนึ่งใบ บนเตียงนอนยังมีวางอีกหนึ่งใบ
ในที่สุดเขาก็เอ่ยถาม
เสิ่นเจินสูดหายใจเข้าลึก พูดด้วยเสียงที่เบามาก “ตัวข้ามีกลิ่นหอมจางๆ มาตั้งแต่เด็ก ท่านแม่ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้จึงสอนข้าทำเครื่องหอม ข้าพกถุงหอมก็เพื่อปิดบังกลิ่นบนร่าง”
ได้ฟังคำพูดนี้แล้วลู่เยี่ยนก็ย้อนคิด ที่พบนางระยะนี้ไม่มีเวลาใดที่นางไม่พกถุงหอมเลยจริงๆ แต่ไม่มากเหมือนเช่นในวันนี้
“อย่างนั้นหรือ” เขาถามเสียงเบา
นอกหน้าต่าง ลมเอื่อยโชยมาพัดม่านมุ้งไหวเบาๆ
เสิ่นเจินขยับเข้าไปใกล้เขาทีละนิด…ทีละนิด จากนั้นค่อยๆ ยกมือที่ขาวเนียนขึ้นมา งอนิ้วมือลงและขยับคอเสื้อเล็กน้อย
ลำคอขาวเนียนระหงแข็งเกร็ง รูปทรงเช่นนี้งดงามยิ่ง
ลู่เยี่ยนไม่ขยับ มองนางอยู่อย่างนั้น ราวกับเจ้าแห่งหมาป่าที่ไม่เคยหิวโหยรอให้เหยื่อมาศิโรราบด้วยตนเอง
สี่ตาประสานกัน เหมือนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
เสิ่นเจินเห็นลู่เยี่ยนไม่มีทีท่าจะยอมให้นางจึงจำต้องกัดฟันและขยับตัวเข้าไป นางแนบตัวไปบนชุดขุนนางสีม่วงเข้มตัวนั้น
ลู่เยี่ยนก้มหน้าลง แค่นเสียงหัวเราะเบาแทบไม่ได้ยินหนึ่งที จากนั้นจมูกโด่งเป็นสันตรงฝังลงไปที่ซอกคอของนางและพ่นไอชื้นบางๆ ลงไปบนนั้น
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤศจิกายน 64)