ทุกประโยคที่เสิ่นเจินอยากจะพูด อันหมัวมัวล้วนเดาได้
อันหมัวมัวยื่นมือมาลูบคิ้วที่ได้รูปงดงามของเสิ่นเจินพลางยิ้มด้วยขอบตาแดง
เด็กผู้นี้เป็นคนที่นางดูแลมาจนเติบใหญ่ จากทารกร้องไห้งอแงจนเติบโตเป็นสาวงาม
สิบหกปีช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน นางตัดใจไม่ได้เลยจริงๆ
อันหมัวมัวมองนางอยู่นานราวกับว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว “บ่าวรู้ว่าคุณหนูสามเป็นคนอ่อนแอ วันหน้า ตอนที่ทนต่อไปไม่ไหวก็คิดถึงหงเอ๋อร์เข้าไว้นะเจ้าคะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง สุดท้ายเสิ่นเจินก็โผเข้าหาอันหมัวมัว ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
วันที่เก้าเดือนสิบ ยามเฉิน
เสิ่นเจินยังคงไปดูแลกิจการที่ร้านไป่เซียงตามปกติ ทุกอย่างเป็นเหมือนที่ผ่านมา
ถึงเวลาราวตอนเที่ยงมีบ่าวสวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงินผู้หนึ่งเดินเข้ามา โค้งคำนับหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อของข้าให้ข้ามารับผงหอมขอรับ”
ได้ยินดังนั้นเสิ่นเจินก็รีบลุกขึ้น “ใต้เท้าลู่เป็นคนสั่งใช่หรือไม่”
บ่าวผู้นั้นพยักหน้าเอ่ยตอบ “ขอรับ”
เสิ่นเจินเดินเข้าไปสองก้าว ยื่นผงหอมหีบหนึ่งที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ให้เขา “นี่ เป็นหีบใบนี้” พูดจบนางก็หยิบภาพภาพหนึ่งออกมาจากในตู้ที่อยู่ด้านข้างเสียบไว้ในร่องหีบ
นี่เป็นภาพผลงานของฉุนจื๋อเซียนเซิง เดิมทีล้วนจะเอาไปจำนำทั้งสิ้น
วันนี้นางจะไปจากฉางอันแล้ว ของในร้านนี้ในเมื่อเอาไปด้วยไม่ได้ สู้ทิ้งไว้ให้ใต้เท้าที่เคยช่วยนางไว้ครั้งหนึ่งผู้นี้ดีกว่า
หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป ร้านไป่เซียงก็มีแขกไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งมาเยือน
เสิ่นหลันสวมเสื้อนวมยาวลากพื้นสีแดง พันคอด้วยผ้าพันคอขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวงาช้าง เป็นการแต่งกายของหญิงสูงศักดิ์ในเมือง
นางก้าวเข้าประตูมา จากนั้นใช้มือขวาพลิกเปิดผ้าบางที่ปิดบังใบหน้าเอาไว้
“ท่านอามาได้อย่างไร” เสิ่นเจินลุกขึ้นถาม
เสิ่นหลันเดินเข้าไปหา นั่งลงบนม้านั่งสี่เหลี่ยมที่ทำจากไม้แดงสลักลายดอกกล้วยไม้ฝังมุกที่อยู่ตรงหน้าเสิ่นเจิน ขมวดคิ้วพูดว่า “เจินเอ๋อร์ พรุ่งนี้วันที่สิบแล้ว เจ้าจะลงชื่อในสัญญาขายตัวเพื่อใช้หนี้จริงหรือ เจ้ารู้หรือไม่ ลงชื่อในสัญญาขายตัวแล้วจะถูกส่งไปที่ใด! เจ้ายินดีจะขายตนเอง แต่ไม่ยินดีจะเชื่ออาหรือ”
เสิ่นเจินก้มหน้าหลุบตา นางรู้ว่ายิ่งมาถึงเวลานี้ยิ่งต้องพูดปลอบท่านอา
นางกำหมัด แสร้งพูดอย่างลำบากใจ “เจินเอ๋อร์รู้ว่าท่านอาต้องแอบด่าในใจว่าข้าไม่รู้จักดีชั่ว แต่ว่าท่านอา เถิงอ๋องกับท่านพ่อไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร ข้ากลัวเขาจริงๆ” นางพูดพลางเอามือปิดปาก
หากเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเสิ่นเจินคงไม่กล้าเชื่อเลยว่าตนเองจะมีพรสวรรค์ในการแสดงละครเช่นนี้
เสิ่นหลันฟังออกถึงความหมายในคำพูดของนาง รีบพูดขึ้นว่า “เด็กโง่ มีอาอยู่ เจ้าจะกลัวเรื่องเหล่านี้ด้วยเหตุใด ถ้าเจ้าถูกรังแกจริงอาจะมองดูเฉยๆ ได้อย่างนั้นหรือ เจินเอ๋อร์ ถ้าเจ้าติดตามเถิงอ๋อง ไม่เพียงแค่อา ยังมีจวนซู่หนิงป๋อทั้งจวนล้วนจะรุกถอยพร้อมกับเจ้า เจ้าอย่าคิดอะไรส่งเดช เข้าใจหรือไม่”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสิ่นเจินก้มหน้าลง พูดเสียงราวยุงบินว่า “ถ้าท่านอาสามารถปกป้องหงเอ๋อร์ได้ เจินเอ๋อร์ไม่ว่าอะไรก็ฟังคำของท่านอา”
ได้ยินคำพูดนี้เสิ่นหลันก็รู้สึกโล่งอกในที่สุด พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หงเอ๋อร์เป็นหลานชายแท้ๆ ของอาเช่นกัน รอผ่านพ้นพรุ่งนี้อาจะรับเขาไปพักที่จวนซู่หนิงป๋อ จะดูแลเขาให้ดีอย่างแน่นอน ถ้าเจ้าอยากพบเขา บอกกับอาสักคำก็พอ”
เสิ่นเจินมองดูใบหน้าจริงใจของเสิ่นหลัน หัวใจเย็นวูบไปทั้งดวง
คำพูดนี้พูดจนภายนอกดูดี แต่ความจริงแล้วพวกเขาก็อยากจะกักตัวเสิ่นหงเอาไว้ในจวนซู่หนิงป๋อเพื่อใช้สิ่งนี้มาข่มขู่นางเท่านั้นเอง
เสิ่นเจินรู้ว่าหากคืนนี้หนีไปไม่ได้ เช่นนั้นนางกับหงเอ๋อร์ จะกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียงจริงๆ ทำได้เพียงปล่อยให้ผู้อื่นแล่เฉือน