ที่ขอบฟ้าเริ่มมีแสงสว่าง แสงอรุณที่สบายตาส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ความอบอุ่นพัดผ่าน ลู่เยี่ยนลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
จะว่าไป เมื่อคืนเขาไม่ได้ฝันประหลาดอะไรเลย นับว่าเป็นการนอนหลับสบายที่สุดครั้งหนึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเลย
หันไปมองที่เสิ่นเจินกลับปวดหัวแทบแตก สองขาเป็นเหน็บชา ใต้ตาดำคล้ำ ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
ทั้งสองคนขยับลงจากเตียง นิ่งเงียบไม่พูดจา
ลู่เยี่ยนกระหายน้ำจึงเดินไปถึงหน้าโต๊ะก่อนจะยกกาน้ำขึ้นมาเขย่าดู พบว่าในนั้นไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว ไม่เพียงแค่น้ำ เขาตื่นนอนแล้ว ในห้องนี้แม้แต่ผ้าเช็ดหน้าร้อนๆ ก็ยังไม่มีสักผืน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารเช้า
เขากวาดตามองเสิ่นเจินที่ง่วงซึมอยู่ข้างๆ ให้ความรู้สึกรำคาญใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาเข้าใจแล้ว เขาหาภรรยาลับมาเสียที่ไหน เขาหานายที่สูงศักดิ์กว่าตนเองมาผู้หนึ่งต่างหาก
อีกครู่ยังต้องเข้างาน ไม่มีเวลามาระบายความโกรธ เขาจึงลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า ผลักประตูเรียกสาวใช้สองคนกลางลานเรือน
คนหนึ่งชื่อโม่เยวี่ย อีกคนชื่อถังเยวี่ย ทั้งสองคนเป็นสาวใช้ที่พ่อบ้านจวนเจิ้นกั๋วกงซื้อมา ย่อมรู้ฐานะของลู่เยี่ยน พอเห็นลู่เยี่ยน ทั้งสองก็ส่งเสียงเรียกพร้อมกัน “ซื่อจื่อ”
ถังเยวี่ยพูดขึ้นก่อน “บ่าวไม่รู้ว่าซื่อจื่อตื่นแล้ว จะไปเตรียมน้ำเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
โม่เยวี่ยพูดอีกว่า “วันนี้ฝางหมัวมัวในห้องครัวลางาน บ่าวฝีมือไม่ค่อยดี ทำเป็นเพียงข้าวต้มขาวและกับข้าวเล็กน้อย เกรงว่าจะไม่ถูกปากซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
ลู่เยี่ยนก้มหน้าจัดแขนเสื้อ “ไม่เป็นไร”
“ซื่อจื่อจะกินอาหารที่เรือนหลันเยวี่ยใช่หรือไม่เจ้าคะ” โม่เยวี่ยถาม
ลู่เยี่ยนตอบว่า “ไปกินที่ห้องปีกตะวันตก”
หลังจากล้างหน้ากลั้วปากแล้วอาหารเช้าก็ส่งมาถึง
ที่วางอยู่บนโต๊ะคือข้าวต้มขาว ผักกาดเขียวปลีดอง ผัดสามสหายเพิ่มด้วยฮวาเจวี่ยนไหมทองหนึ่งจาน ยังมีน้ำแกงฟักเขียวอีกหนึ่งชาม
คราวนี้เสิ่นเจินนับว่าฉลาดขึ้น เห็นเขานั่งลงกินอาหาร ตัวเองก็รีบเดินเข้าไป การคีบอาหารให้เช่นนี้นางยังพอทำเป็น อย่างไรเสียตอนที่ท่านย่ายังมีชีวิตอยู่นางก็คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ บ่อยครั้ง
นางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเหอเถาชิ้นหนึ่งวางไว้ในถ้วยของเขา เห็นเขากินแล้วก็คีบซิ่งเหรินให้อีกชิ้น จากนั้นก็ตักน้ำแกงถ้วยหนึ่งวางไว้ข้างๆ
เดิมทีนางคิดว่าครั้งนี้คงไม่ต้องฟังเขาหาเรื่องอีกแล้ว แต่นางไม่ได้นอนทั้งคืนและไม่ได้กินอาหาร ความหิวยากจะทนไหว ในตอนนี้ท้องก็ส่งเสียงร้องออกมา
เขานั่งอยู่ นางยืนอยู่ ด้วยความต่างส่วนสูงของร่างกายเสียงนี้จึงดังอยู่ข้างหูของเขาพอดิบพอดี เขาย่อมต้องได้ยินแน่นอน
ไม่ผิดไปจากที่คิด ลู่เยี่ยนชะงักตะเกียบช้อนตามองนาง
สี่ตาประสานกัน ใบหน้าของเสิ่นเจินราวกับถูกทาด้วยสี แดงก่ำทั้งหน้า แม้แต่แววตาก็ยังว้าวุ่นตามไปด้วย
ศักดิ์ศรีของนางในฐานะธิดาตระกูลใหญ่สองวันนี้ล้วนถูกเขาหยามไปพอสมควรแล้ว เห็นเขาจะเอ่ยปากพูดนางก็ยกมือขึ้นปิดหูตนเองโดยไม่คิดอะไรเลย นางไม่อยากฟังอีกแล้วจริงๆ
ลู่เยี่ยนเห็นปฏิกิริยาอย่างฉับพลันของนางทำให้หัวเราะออกมา
ครั้งนี้ลู่เยี่ยนไม่ได้เป็นเหมือนที่นางคิดไว้
เขาเพียงแค่แตะหลังของนาง พูดเสียงเบาประโยคหนึ่งว่า “หิวแล้วก็นั่งลงกินพร้อมกัน”
เสิ่นเจินนั่งลง ไม่ได้ทรมานตนเอง หยิบตะเกียบขึ้นมา ยกข้าวต้มที่เหลือนั้นขึ้นมานั่งเงียบเรียบร้อย ค่อยๆ คีบผักกาดเขียวปลีชิ้นหนึ่งขึ้นมา ตอนที่ส่งเข้าปากไม่มีเสียงดังแม้แต่น้อย
แต่เพิ่งเคี้ยวไปหนึ่งคำ หัวคิ้วของนางก็ขมวดขึ้นมา
อาหารนี้ทำได้ไม่มีรสชาติเลย เทียบฝีมือกับหมัวมัวและชิงซีแล้วเรียกว่าหนึ่งคือฟ้า อีกหนึ่งคือดินเลยทีเดียว
นางผ่อนคลายอารมณ์แล้วกินฮวาเจวี่ยนไหมทองอีกหนึ่งคำ ใบหน้าเล็กผิดหวังโดยสิ้นเชิง
แม้แต่ฮวาเจวี่ยนก็แข็งมาก