‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ เป็นกระทู้ที่ได้รับความนิยมมาก มันร้อนแรงจนฉุดไม่อยู่ ลู่จยาที่ซุกตัวอยู่แต่ในห้องเปิดกระทู้ดูตั้งแต่เช้า
เฉิงอี้เหิงเคาะประตูเรียก “คุณเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง ต้องออกไปร่วมงานแล้วนะ”
ลู่จยามองนาฬิกาที่มุมล่างขวาของจอคอมพิวเตอร์ ตอนนี้เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เธอต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าเตรียมตัวออกจากคอนโดฯ ก่อนหน้านี้ลู่จยาไม่ค่อยได้ออกจากห้องนัก อย่างแรกเพราะเรื่องคราวก่อนยังทำให้เธอหวาดกลัวอยู่ อย่างที่สองคือขาของเธอยังไม่หายดีเท่าไหร่
แต่ที่วันนี้ยอมออกจากบ้านเพราะเธอรับปากไว้ว่าจะไปร่วมงานวันเกิดคนไข้ของคุณหมอเฉิงอี้เหิง
เฉิงอี้เหิงบอกว่าคนไข้คนนี้เป็นนักธุรกิจ ใหญ่โตขนาดถึงขนาดที่เรียกลมเรียกฝนในพื้นที่ของเขาได้ ช่วงวัยรุ่นก็ถูกขนานนามว่าสามารถ ‘เปลี่ยนหินให้เป็นทอง’ ไม่ว่าจะไปไหนก็หาเงินได้ตลอดจึงมีทรัพย์สินสะสมไม่น้อยทั้งยังสร้างอาณาจักรธุรกิจของตัวเองขึ้นมาได้อีก
ลู่จยาหัวเราะเขา “คุณหมอเฉิง ฉันคิดว่าคุณดูเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก จนไม่น่าจะไปร่วมงานเลี้ยงสร้างเส้นสายแบบนี้ ไม่คิดว่าคุณก็…”
“นี่ไม่ใช่งานเลี้ยงสร้างเส้นสายอะไร แต่เป็นงานเลี้ยงขอบคุณของคนไข้ของผม ถ้าผมไม่ไปก็จะดูเหมือนผมไม่เอาใคร”
ที่จริงแล้วนอกจากจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้แล้ว สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือครอบครัวเฉิงอี้เหิงกับประธานคนนี้มีความสัมพันธ์กันแนบแน่นกันอยู่ แต่แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องครอบครัวของเขาให้ลู่จยารับรู้
จะเอาคน หรือไม่เอาคนสำหรับลู่จยาแล้วไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะตัวเธอเองก็เป็นคนที่ไม่เอาคนอื่นอยู่แล้ว ที่ผ่านมาสโมสรเป็นเหมือนร่มคันใหญ่ที่กันทุกอย่างเอาไว้ให้เธอ เป็นเหมือนอ่าวอันอบอุ่นปลอดภัยที่ช่วยปกป้องเธอจากลมฝนและพายุหิมะทั้งหลาย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสโมสรปกป้องเธอเอาไว้อย่างเพื่อให้เธอได้ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนและการแข่งขันอย่างเอาจริงเอาจัง สำหรับเรื่องอื่นๆ นั้นจะมีคนคอยช่วยจัดการรับมือให้เธอ เพราะเป็นแบบนี้ลู่จยาถึงไม่เคยคิดทบทวนเลยว่าตัวเองมีความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าเวลาไหนจะต้องทำอะไรหรือพูดอะไร ซึ่งนั่นก็ทิ้งภาพจำที่ดูเหมือนเป็นคนไม่แคร์สิ่งใดๆ ไว้
ลู่จยาอ่อนโยนขึ้นมากหลังจากที่ได้มาใช้ชีวิตกับเฉิงอี้เหิง ทำให้เขาได้เห็นมุมน่ารักๆ ที่คาดไม่ถึงอยู่บ่อยๆ
“ฉันรู้แล้ว จะรีบแต่งตัวเดี๋ยวนี้แหละ” ลู่จยาตะโกนบอกออกไป เธอเดินกระย่องกระแย่งไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบเครื่องสำอางแต่ละชิ้นออกมา จากนั้นก็จัดวางมันไว้อย่างเป็นระเบียบ ครีมรองพื้น อายแชโดว์ มาสคาร่า คอนทัวร์สติ๊ก แป้งพัฟ…
เธอไม่ได้แต่งหน้ามาพักใหญ่แล้ว
เมื่อมองบรรดาเครื่องสำอางมากมายที่อยู่ตรงหน้านี้แล้วเธอก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง อยู่ๆ ก็หมดความมั่นใจไปเสียอย่างนั้น
ไม่ต้องสนใจอะไร ลู่จยาให้กำลังใจตัวเอง เธอหยิบขวดครีมรองพื้นขึ้นมาเขย่าแล้วบีบเนื้อครีมขนาดเท่าเม็ดถั่วออกมาไว้บนหลังมือ จากนั้นจึงหยิบฟองน้ำขึ้นมาแต่งหน้า เมื่อลงรองพื้นเรียบร้อยแล้วลู่จยาก็เตรียมจะวาดคิ้ว ตอนนั้นเองถึงได้เห็นว่ามีขนคิ้วขึ้นจนรก ทำให้ดูไม่เป็นทรงเท่าไหร่นัก เธอคิดว่าควรต้องกันคิ้วสักหน่อย
ขณะที่เธอหยิบมีดโกนขึ้นมาเตรียมจะกันคิ้วนั่นเอง เฉิงอี้เหิงก็ทะลึ่งพรวดเข้ามาในห้อง
“คุณดูซิว่าชุดเดรสนี่เป็นยังไง ผมให้เพื่อนผู้หญิงที่ทำงานช่วยแนะนำมา บอกให้คุณออกไปเลือกด้วยกันกับผมคุณก็ไม่ยอมไป…” เฉิงอี้เหิงหยิบชุดเดรสออกมาขณะพูดไปครึ่งประโยค เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นคิ้วด้านขวาของลู่จยาแหว่งไปกระจุกหนึ่ง เฉิงอี้เหิงอ้าปากกว้างร้องขึ้นอย่างตกใจ “คิ้วคุณเป็นอะไรน่ะ?!”
“ฉัน…” ลู่จยาลุกขึ้นยืนอย่างโมโห “ฉันกำลังกันคิ้วอยู่! แล้วคุณก็พุ่งเข้ามา พอฉันมือสั่นก็…”
เฉิงอี้เหิงก้าวถอยหลังไปสองสามเก้าด้วยความรู้สึกผิด เขาเดินวนไปวนมาจากนั้นจึงมาหยุดอยู่ข้างๆ ลู่จยา วางมือลงบนไหล่ของเธอแล้วตบเบาๆ สองสามที ก่อนจะวางชุดที่อยู่ในมือลง “คุณค่อยๆ กันคิ้วไปนะ ผมออกไปก่อน…”
“หยุดเลยนะ!”
เฉิงอี้เหิงชะงัก รู้ตัวดีว่าตนไม่อาจจะหลบเลี่ยงความผิดนี้ไปได้ เขาจึงรีบล้วงเอาบัตรเครดิตใบหนึ่งส่งให้ลู่จยา “ถือว่านี่เป็นการชดใช้ความผิดของผมก็แล้วกัน คุณเอาไปรูดได้ตามสบาย” ความสนใจของลู่จยาไม่ได้อยู่ที่บัตรของเฉิงอี้เหิง แต่เป็นเดรสชุดนั้น “ชุดเดรสนี่…”
“ทำไมเหรอครับ”
“สวยดีนะ” ชุดเดรสตัวนี้ดึงดูดความสนใจลู่จยาได้สำเร็จ
ขณะที่ลู่จยากำลังชื่นชมชุดเดรสอยู่นั้นแววตาของเธอก็เป็นประกายราวกับอัญมณีที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่กลางทะเลสาบ เฉิงอี้เหิงเห็นท่าทางเช่นนั้นของลู่จยาบางส่วนในใจก็เกิดความรู้สึกอ่อนยวบยาบขึ้นมา
ปกติแล้วลู่จยาไม่ค่อยได้สวมกระโปรงบ่อยนัก เพราะเธอต้องซ้อมขี่รถและลงแข่งขันอยู่ตลอดจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้สวมมันสักเท่าไหร่ อีกอย่างตัวเธอเองก็ไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ด้วย ในสายตาของลู่จยานั้นผู้หญิงที่สวมกระโปรงเวลาเดินจะดูเหมือนกำลังลอยอยู่ เอวดูบางอ่อนช้อย เย้ายวนไปทั้งตัวเหมือนกับหมิ่นลู่และฮว่าถิง
ลู่จยาจึงรู้สึกว่าการสวมกระโปรงไม่ค่อยเข้ากับสไตล์ของตัวเองเท่าไหร่ อีกทั้งเธอยังต้องรักษาภาพลักษณ์เท่ๆ ของตัวเองเอาไว้ด้วย