เธอหยิบชุดเดรสขึ้นมา มันเป็นชุดราตรีแบบเดรสสั้นสีฟ้าน้ำทะเลซึ่งมีกลิตเตอร์วิบวับประดับอยู่ เห็นแล้วเธอก็อยากจะลองสวมดู
เมื่อก่อนลู่จยาบังคับตัวเองให้ออกกำลังกายเป็นประจำทำให้เธอสามารถคงรูปร่างที่ดีไว้ได้ แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุเธอก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว กินไม่บันยะบันยังจนพุงป่องออกมา เธอจึงไม่รู้เลยว่าจะสวมเดรสชุดนี้เข้าไปได้ไหม
เธอบอกสิ่งที่กังวลอยู่กับเฉิงอี้เหิง แต่เขากลับฉีกยิ้มให้เธออย่างสดใส “ไม่เป็นไร ผมคิดเรื่องนี้ไว้แล้วเลยเลือกไซส์ใหญ่มาให้คุณโดยเฉพาะ”
“คุณออกไปได้แล้วคุณหมอเฉิง” ลู่จยาค้อนขวับ
เฉิงอี้เหิงเดินยิ้มออกไป ครั้งนี้เขาปิดประตูลงเบาๆ
ลู่จยาลูบคลำคิ้วแหว่งๆ ของตัวเอง รู้สึกว่ามันแสบนิดๆ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองได้อะไรมาและสูญเสียอะไรไปบ้าง เธอเติมคิ้วให้เรียบร้อยจากนั้นก็แต่งหน้าที่เหลือจนเสร็จ ทาลิปสติก เม้มริมฝีปาก แล้วใช้เครื่องม้วนผมม้วนผมของตัวเอง
สุดท้ายก็มองไปที่ชุดเดรสสีฟ้าน้ำทะเลตัวนั้น ลู่จยาสูดหายใจลึกก่อนเปลี่ยนชุด
ชุดเดรสพอดีตัวเธออย่างไม่น่าเชื่อ พุงน้อยๆ ของเธอที่ยื่นออกมาถูกกลิตเตอร์ของกระโปรงช่วยบังไว้
ลู่จยามองตัวเองในกระจก ตกตะลึงในความสวยของตัวเองจนแทบจะพูดไม่ออก ชุดเดรสนั้นพอดีตัวแต่ไม่ได้รัดจนแน่น อีกทั้งยังโชว์สัดส่วนอันสวยงามของเธอออกมาได้อย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
“เสร็จหรือยัง” เฉิงอี้เหิงเคาะประตูแล้วถามขึ้นด้วยเสียงเบาๆ
“เสร็จแล้ว”
“งั้นผมเข้าไปนะ”
เฉิงอี้เหิงผลักประตูห้องเดินเข้าไป เมื่อเขาเห็นลู่จยาถึงกับตกตะลึง
ลู่จยาตัวใหญ่ขึ้นกว่าช่วงที่เป็นนักแข่งเล็กน้อย แต่มันเป็นความอวบอ้วนกำลังดีทำให้เธอดูแข็งแรงและสวยแบบที่คนมองแล้วรู้สึกสบายใจ
เฉิงอี้เหิงถึงกับรู้สึกว่าลู่จยาที่เป็นแบบนี้ เวลาอุ้มคงสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มๆ ของตัวหญิงสาว
“คุณมองอะไร ไม่สวยเหรอ” ลู่จยาลูบต้นคอของตัวเองขณะที่ถามออกไปด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ “ไม่ใช่ ผมกำลังนับถือสายตาของตัวเองอยู่ เดรสชุดนี้ไม่เลวเลยทีเดียว มันดูเข้ากับการแต่งหน้าของคุณมาก” เฉิงอี้เหิงพูด
ลู่จยาก้มหน้ามองเดรสที่ตนสวมอยู่ เฉิงอี้เหิงไม่ได้ชมเธอแต่กำลังชมชุด เธอรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยเลยเบะปากออกมา “งั้นไปกันเถอะ”
แม้ชุดเดรสจะสวย และการแต่งหน้าของเธอจะดูดี แต่ขาของเธอยังใส่เฝือกอยู่ การเดินเหินไม่สะดวกนักต้องอาศัยไม้ค้ำช่วย
ต่อให้เป็นสาวงามขนาดไหน แต่ถ้ามีไม้ค้ำอยู่ก็ทำให้คนมองห่อเหี่ยวไปได้มากทีเดียว
แต่งานนี้ลู่จยาแค่ไปเป็นไม้ประดับเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะเป็นจุดเด่นหรือโชว์อะไร จะว่าไปแล้วสถานะของเธอเองในตอนนี้ยังเป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ถ้ามีคนจำเธอได้คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก นักแข่งรถสาวเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงได้บอกกับเฉิงอี้เหิงไป ซึ่งเขาก็รับรองอย่างดีว่านี่เป็นงานเลี้ยงแบบส่วนตัวมากๆ ไม่อนุญาตให้เอาโทรศัพท์มือถือเข้าไปในงาน เมื่อได้ยินแบบนั้นลู่จยาถึงได้เบาใจลง
อีกทั้งลู่จยาที่สวมชุดเดรสสั้นนั้นก็ดูแตกต่างจากปกติอย่างสิ้นเชิง และหน้าตาก็เปลี่ยนไปเพราะการแต่งหน้าอีกด้วย ใช่ว่าคนทั่วไปจะจำเธอได้ง่ายๆ
ทั้งคู่นั่งรถมาถึงงานเลี้ยงก็มีเด็กเปิดประตูรถมาเปิดประตูและนำรถไปจอดให้ จากนั้นก็จะมีบริการมาช่วยนำทางพวกเขาเข้างาน แต่ก่อนที่จะเข้าไปในตัวงานเลี้ยงได้บริกรก็จะขอเก็บโทรศัพท์มือถือของแขกเหมือนที่เฉิงอี้เหิงบอกไว้ พร้อมทั้งลงทะเบียนรุ่นโทรศัพท์และสีของเครื่องให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงมอบการ์ดใบหนึ่งให้แขก เมื่องานเลิกแขกก็จะใช้การ์ดใบนั้นมารับโทรศัพท์มือถือของตัวเองกลับไป
เมื่อประตูใหญ่ตรงทางเข้างานเปิดออก เฉิงอี้เหิงก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ลู่จยาคล้องแขนของเขาไว้
ลู่จยามองอยู่แวบหนึ่งก่อนคล้องแขนของเฉิงอี้เหิงด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
ทั้งคู่คล้องแขนกันเดินเข้าไปในงานเลี้ยงด้วยท่าทางสนิทสนม หลังจากนั้นชายแก่ผมเทาท่าทางกระฉับกระเฉงก็เดินเข้ามาหาคนทั้งคู่ รอบๆ ตัวของชายแก่มีคนยืนอยู่ด้วยไม่น้อย พอเขาเดินคนเหล่านั้นก็เดินตามเขาเข้ามาด้วย นั่นทำให้ความสนใจของผู้ร่วมงานมาหยุดอยู่ที่เฉิงอี้เหิงและลู่จยา
“คุณหมอเฉิง คุณมาแล้ว ยินดีต้อนรับ” ชายแก่หัวเราะอย่างเบิกบาน ท่าทางดูสนิทสนมและมีความเกรงใจเฉิงอี้เหิงอยู่
เฉิงอี้เหิงยื่นมือออกไปจับทักทายกับชายสูงวัย “ท่านประธานเฉิน ช่วงหลังมานี้สบายดีใช่ไหมครับ”
“ยังดีอยู่ โชคดีที่ได้คุณหมอเฉิงช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ผมคงจะยืนอย่างสง่าผ่าเผยตรงนี้ไม่ได้ คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณหมอสบายดีใช่ไหม” ประธานเฉินบิดเอวซ้ายทีขวาทีทำเอาคนทั้งหอประชุมหัวเราะกันใหญ่