‘ศัตรูหัวใจปรากฏตัวแล้วเหรอ! ดูท่าทางอีกฝ่ายจะเป็นคุณหนูล่ะสิ สงสัยจะรับมือไม่ง่ายนะ’
‘เจ้าของกระทู้สู้ๆ! พวกเราอยู่ข้างคุณ!’
‘คุณหมอรูปหล่อเป็นที่นิยมขนาดนั้นเลยเหรอ?!’
‘จากที่เจ้าของกระทู้เขียน ฉันว่าคุณหนู จ. ต้องมาจากตระกูลดี สวย แล้วก็มีความสามารถด้วย พูดกันตามตรงถ้าฉันเป็นผู้ชายฉันจะต้องเลือกคุณหนู จ. แน่ๆ’
‘เจ้าของกระทู้ก็บอกอยู่ อย่าขัดจะได้ไหมอะ กระทู้นี้เขียนไว้ชัดๆ ว่า ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ ไม่ใช่ ‘เหมือนว่าหมอของฉันจะชอบคนจากตระกูลดี หน้าสวย และมากความสามารถอย่างคุณหนู จ.’ สักหน่อย’
‘ฉันไม่อยากจะทะเลาะกับความคิดเห็นที่เพิ่งตอบกลับมาหรอกนะ แต่ที่ฉันพูดมันเป็นความจริง ตอนนี้เจ้าของกระทู้ไม่มีเงิน ไม่มีบ้านให้อยู่ แถมขาก็ยังบาดเจ็บไม่หายดี จะเอาอะไรไปสู้กับคุณหนูนั่น แต่พูดกันตามตรง ที่ฉันรังเกียจสุดๆ คือพวกผู้หญิงที่ยังไม่ทันรู้ว่าความสัมพันธ์ของคนอื่นเขาเป็นยังไงก็แทรกเข้าไปแล้ว ไม่ต้องว่าเขาจะคบหรือยังไม่คบกันหรอก แค่เข้าไปยุ่งโดยไม่แคร์อะไรก็ไม่รู้แล้วว่าใจคิดอะไรอยู่’
‘ความคิดเห็นข้างบนพูดอะไรไม่ออกแล้วรึไง ความสัมพันธ์ยังไม่ชัดเจนแล้วยังไง เข้าบ้านเขาไม่ได้เหรอ เจ้าของกระทู้ไปทำอะไรให้กัน’
เมื่อเห็นคนในกระทู้ทะเลาะกันดุเดือด ลู่จยาก็รู้สึกเซ็งๆ ขึ้นมาจึงลบความคิดเห็นที่รุนแรงบางอันออกไปจากนั้นจึงกดชักโครก แต่เมื่อคิดจะลุกขึ้นยืนกลับรู้สึกว่าขาชา…เธอลุกไม่ขึ้น
สวรรค์! เธอนั่งห้อยขาอยู่บนชักโครกแท้ๆ ไม่ได้นั่งยองๆ ที่ส้วมหลุมเสียหน่อย แล้วนี่จะลุกยังไงกัน
ลู่จยาอยากจะบ้าตาย
เธอพยายามลุกยืนอยู่หลายครั้งถึงพบว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ขาข้างที่ปกติ แต่อยู่ที่ขาข้างที่เข้าเฝือกไว้ ก่อนหน้านี้มันก็ใช้แรงมากไม่ได้เท่าไหร่อยู่แล้ว ทว่าตอนนี้กลับมีอาการชาเป็นระยะๆ จนส่งผลต่อขาข้างที่ปกติไปด้วยจนทำให้ลุกไม่ได้
สิ่งแรกที่เธอนึกออกคือโทรหาเฉิงอี้เหิง แต่เมื่อโทรไปแล้วถึงคิดได้ว่าโทรศัพท์มือถือของทุกคนถูกบริกรเก็บไว้ให้ชั่วคราวซึ่งนั่นหมายความว่าเธอติดต่อกับเฉิงอี้เหิงไม่ได้
ลู่จยาคิดจะเรียกบริกรจึงพยายามตบประตูอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ก่อนฉุกคิดขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เธอได้ปฏิเสธความช่วยเหลือของบริกรที่จะช่วยพยุงตัวเธอเข้ามาในห้องน้ำไป เขาคงคิดว่าเธอดูแลตัวเองได้ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ช่วยก็คงไม่มีใครมายืนอยู่แถวหน้าห้องน้ำหรอก
สถานการณ์กำลังย่ำแย่อย่างหนัก
จะทำยังไงดี ลู่จยาร้อนรนจนแผ่นหลังมีเหงื่อซึมออกมา
ลู่จยายังแอบคิดว่าอีกสักพักอาการอาจจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ผ่านไปยี่สิบนาทีแล้วเธอก็ยังรู้สึกอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว
เธอออกมาจากงานเลี้ยงมาเกินกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว เฉิงอี้เหิงต้องรู้สิว่าเธอไม่อยู่ในนั้น เขาน่าจะออกมาตามหาเธอ
แต่ว่า…
ถ้าเฉิงอี้เหิงมาพบว่าเธอติดอยู่ในห้องน้ำหญิงแบบนี้ มันก็น่าขายหน้าน่ะสิ
ลู่จยาตัดสินใจพยายามที่จะออกจากห้องน้ำด้วยตัวเองอีกสักครั้ง แต่เมื่อยืนขึ้นได้ก็ถูกอาการชาที่ขาทำให้ต้องนั่งกลับลงไปเหมือนเดิม
ลู่จยาเงยหน้ามองเพดาน ในตอนที่กำลังคิดว่าจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือเธอก็ได้ยินเสียงคนคุยกันใกล้เข้ามาทุกที
มีคนเดินเข้ามาในห้องน้ำหญิงแล้ว! ในที่สุดเธอก็รอดแล้ว!
ลู่จยารู้สึกราวกับว่าชีวิตได้เจอพบเจอแสงสว่างอีกครั้ง เธอรอให้คนเดินเข้ามาในห้องน้ำทว่าตอนที่กำลังจะส่งเสียงออกไปนั่นเองก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงเฉิงอี้เหิงขึ้นมา
“เธอคิดว่าคุณหมอเฉิงเป็นยังไงบ้าง คุณปู่ของเธอกระตือรือร้นแนะนำเขาให้ขนาดนั้น ดูเหมือนท่านจะชื่นชอบเขามากเลยนะ”
ประโยคนั้นเป็นประโยคคำถาม เธอไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน แต่จากที่พูดถึง ‘คุณหมอเฉิง’ นั่นก็น่าจะหมายถึงเฉิงอี้เหิงล่ะมั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงน้ำไหล คงมีใครเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างมือ แล้วหลังจากนั้นเสียงของอีกคนก็ดังขึ้น “คุณหมอเฉิงน่ะเหรอ ก็แค่หมอธรรมดาๆ คนหนึ่ง ต่อให้มีอนาคตไกลยังไงก็เป็นแค่หมอเท่านั้น คุณปู่ฉันแก่แล้วถึงได้แนะนำฉันให้กับหมอธรรมดาๆ แบบนั้น”
น้ำเสียงนี้คุ้นหูมาก มันเป็นเสียงของจือฮวาซึ่งแตกต่างไปจากตอนที่เธอแสดงออกด้วยท่าทางอันแสนสมบูรณ์แบบเมื่อครู่อย่างมาก