บทที่สาม
เฉิงอี้เหิงอุ้มลู่จยาวิ่งไปขึ้นรถด้วยความรีบร้อน เขาวางเธอไว้บนเบาะด้านหลังอย่างเบามือ ปกติแล้วเฉิงอี้เหิงเป็นคนที่ขับรถระมัดระวังมากไม่ค่อยขับเกินความเร็วที่กำหนด แต่ครั้งนี้แม้กระทั่งลู่จยาก็ยังสัมผัสได้ถึงความรีบร้อนของเขา
ก่อนถึงโรงพยาบาล เฉิงอี้เหิงได้โทรศัพท์ติดต่อกับหมอเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงโรงพยาบาลลู่จยาก็ถูกส่งตัวไปที่ห้องฉุกเฉินเพื่อทำการรักษาทันที ลู่จยาในเวลานี้รอดพ้นจากช่วงวิกฤตแล้วและกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง
เตียงคนไข้นั้นมีจำกัดทำให้เฉิงอี้เหิงต้องพาลู่จยาย้ายมานอนพักที่เตียงในห้องพักแพทย์ของเขาโดยมีผ้าม่านกั้นไว้ ส่วนเขาก็นั่งทำงานอยู่ทางด้านนอก ที่จริงวันนี้เป็นวันหยุดของเฉิงอี้เหิง แต่เมื่อต้องกลับมาที่โรงพยาบาลแล้วเขาจึงทำการรักษาคนไข้ไปด้วยเลย
ลู่จยาตื่นขึ้นมาเป็นระยะๆ ทำให้เธอได้ยินเสียงเฉิงอี้เหิงพูดคุยเรื่องการตรวจรักษาคนไข้อยู่ด้านนอก เสียงของเขาทำให้จิตใจของเธอรู้สึกสงบลงได้อย่างประหลาด เมื่อรู้สึกปลอดภัยเธอจึงหลับสนิท เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ด้านเฉิงอี้เหิงเองก็ตรวจคนไข้เสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ลู่จยานวดขมับของตัวเองเบาๆ เพราะนอนมากไปทำให้เธอรู้สึกมึนๆ พอก้าวลงจากเตียงได้เธอก็ดึงม่านกั้นออกจึงเห็นเฉิงอี้เหิงซึ่งสวมแว่นตากรอบทองกำลังเขียนอะไรบางอย่าง โคมไฟที่ตั้งอยู่ข้างๆ เขาเปิดสว่างไสว ส่องแสงอบอุ่นออกมา
พอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเฉิงอี้เหิงก็เงยหน้าขึ้นมอง
ลู่จยายังอยู่ในอาการมึนงง แสงเหลืองนวลของโคมไฟที่ส่องกระทบใบหน้าของเฉิงอี้เหิงนั้นทำให้ใบหน้าของเขาดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติทั้งยังดูอ่อนโยนมากทีเดียว
“ลู่จยา” เฉิงอี้เหิงเรียกเธออยู่หลายครั้งกว่าลู่จยาจะรู้สึกตัว
“เอ่อ มีอะไรรึเปล่าคะ”
“ผมถามว่าตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง ยังรู้สึกชาไปทั้งตัวอยู่ไหม”
ลู่จยาส่ายหน้า “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
“งั้นพวกเรากลับบ้านกันเถอะ” ก่อนที่จะพูดประโยคนี้ออกมาเฉิงอี้เหิงก็เดินมาตรงหน้าของลู่จยาแล้ว ก็ยื่นมือออกมาแตะหน้าผากของเธอพร้อมพึมพำกับตัวเอง “ไม่มีไข้แล้ว”
ลู่จยาเคยเดินคู่กับเฉิงอี้เหิงอยู่บ่อยๆ เธอรู้ว่าเขาเป็นคนตัวสูง แต่ในตอนนี้ทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันมากกว่าปกติ และเมื่อเทียบกับเธอแบบชัดๆ แล้ว ลู่จยาถึงได้รู้ว่าเขาเป็นคนตัวสูงมากกว่าที่ตัวเองคิด
หน้าผากของลู่จยาอยู่แค่ปลายคางของเฉิงอี้เหิง หากเธอมองตรงไปก็จะเห็นลูกกระเดือกของเขา และยังมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อผสมกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวของเขาลอยมาแตะจมูกของเธออีกด้วย
ลู่จยากลืนน้ำลายลงคอ
“หิวแล้วล่ะสิ” เฉิงอี้เหิงบังเอิญได้ยินเสียงเธอกลืนน้ำลายจึงเอ่ยปากถาม
“ใช่ ฉันหิวตั้งนานแล้ว” ลู่จยาลูบท้องเพื่อกลบเกลื่อนท่าทางขวยเขินก่อนจะหันหน้าไปอีกด้านเพื่อพูดกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา “ที่ฉันกลืนน้ำลายเมื่อกี้ไม่ใช่เพราะหิวสักหน่อย แต่เป็นเพราะความหล่อของนายต่างหาก”
“คุณพึมพำอะไรอยู่น่ะ” เฉิงอี้เหิงถาม
“เปล่าๆๆ” ลู่จยาหันกลับมาส่ายหน้าพรืด
ลมเย็นยามค่ำคืนพัดเส้นผมของเธอเบาๆ ทำให้ลู่จยาดูทั้งบ๊องทั้งน่ารัก
“คุณอยากกินอะไรล่ะ”
“อะไรจืดๆ หน่อยก็ดีนะ” ลู่จยาก้มหน้าลงมองพุงน้อยๆ ของตัวเองแล้วถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “คนเราถ้าไม่รู้จักควบคุมสักนิดก็จะต้องเจอการแก้แค้นของร่างกาย”
“ได้สิ”
จากประสบการณ์และบทเรียนหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้เฉิงอี้เหิงเลือกจะพาลู่จยาไปที่ร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศดี และให้ความเป็นส่วนตัวกับลูกค้า เขาขอห้องอาหารส่วนตัว
ขณะที่เดินเข้าไปในร้าน เฉิงอี้เหิงก็นำเสื้อนอกของเขามาคลุมตัวลู่จยาเอาไว้ เมื่อมีเสื้อนอกคลุมไว้ทั้งตัวซ้ำยังก้มหน้าลงไปอีกจึงยากที่จะดูรู้ว่าเธอเป็นใคร
หลังจากที่รับประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็ขับรถกลับคอนโดฯ ลู่จยานั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านข้างคนขับ ศีรษะของเธอพิงกับหน้าต่างรถ เธอมองดูใบหน้าด้านข้างของเฉิงอี้เหิงขณะที่เขากำลังขับรถ จากนั้นจึงหันไปมองแสงจากหลอดไฟนีออนที่ส่องสว่างอยู่ทั่วทั้งเมือง และแล้วแสงจากหลอดไฟนีออนเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป…ใจของลู่จยาไม่เคยสงบอย่างนี้มาก่อน ตอนนี้เธอกำลังดื่มด่ำเมามายกับความมืดยามค่ำคืน
ระหว่างทางทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก แต่บรรยากาศก็ยังดูสบายๆ ทำให้ลู่จยานึกถึงคืนก่อนวันแข่งขัน ก่อนแข่งเธอมักจะนอนไม่หลับทุกครั้ง มันเป็นค่ำคืนที่ทรมานและยาวนานราวกับว่าถูกดึงให้ยืดยาวออกไป รุ่งอรุณของวันใหม่มาไม่ถึงสักที และคนที่จมอยู่ในความมืดย่อมรับได้รู้ถึงความสิ้นหวัง หลังจากที่คิดได้เธอก็เอาหมวกกันน็อกมากอดไว้จึงทำให้นอนหลับลง
เมื่อหัวใจของเธอมีสิ่งของบางอย่างทับเอาไว้ เธอจึงไม่รู้สึกอ้างว้างอีกต่อไป ไม่มีลมพัดเข้ามาก็ไม่โดดเดี่ยวและว่างเปล่า
ทว่าคืนนี้เป็นค่ำคืนที่งดงาม ลู่จยารู้สึกว่าหัวใจของเธอไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากดทับเอาไว้ก็สามารถนอนหลับได้ นั่นเพราะเธอรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว