ลู่จยาอัพเดตเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงลงในกระทู้ และนั่นก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่อีกครั้ง
‘ว้าว! เจ้าของกระทู้ต้องรักษาสุขภาพด้วยนะ อันตรายมากเลยใช่ไหม’
‘ตอนที่ ฉ. อยู่ในลิฟต์มีวิญญาณประธานจอมโหดเข้าสิงใช่ไหม! ยายคุณหนูนั่นกล้ามารังเกียจ ฉ. ว่าเป็นแค่หมอตัวเล็กๆ ได้ยังกัน! ถ้าไม่เอาก็ส่ง ฉ. มาให้ฉันได้ไหม’
‘เอ๋?…ติดตามกระทู้มาตั้งนาน ดูจากระยะเวลากับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเรื่องของเจ้าของกระทู้เหมือนกับบุคคลในข่าวช่วงนี้เลย อย่าทำร้ายฉันนะ ฉันจะพูดแค่คีย์เวิร์ดให้พวกคุณไปเดากันเอง…อุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ นักบิด ขาหัก’
‘จากที่ความคิดเห็นข้างบนพูดถึงนะ ดูเหมือนฉันจะเดาได้แล้วล่ะ ล.จ. หรือเปล่า’
‘ลู่จยา…ยังต้องเขียนตัวย่ออะไรอีกอะ เธอไม่ใช่ดาราสักหน่อย ฉันก็คิดว่าน่าจะเป็นลู่จยานะ ฉันหมายถึงมันเหมือนเรื่องที่เกิดกับลู่จยาเลยอ่ะ แต่ว่าเธอไม่ใช่คนสไตล์นี้แน่นอน ถ้าไม่ใช่ว่ามีนักเขียนมือปืนมารับจ้างเขียน ก็เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองแน่นอน’
‘เห็นด้วยกับความคิดเห็นข้างบน ฉันถือว่าเป็นแฟนคลับปลายแถวของนักแข่งความเร็วสองล้อ เคยตามไปดูการแข่งขันก็หลายครั้ง แถมเข้าร่วมแฟนมีตของนักบิดสาวก็บ่อย เรื่องไปรับส่งสนามบินนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปกติตอนที่พวกเธอฝึกซ้อมกันฉันก็ไปดูตั้งหลายรอบ จากมุมมองของฉันนะ ฮว่าถิงเป็น ‘ควีนออฟเดวิล’ ของแท้แน่นอน ทั้งสาว ทั้งสวย แล้วเทคนิคการขี่รถก็ยอดเยี่ยมอีก แต่ปัญหาคือเวลาเธอพูดคุยอ่ะ ดูเป็นคนมีหลายอารมณ์เหมือนมีเรื่องปิดบังอยู่ในใจ แต่ลู่จยานี่อย่างกับปลาตาย ทื่อๆ เย็นๆ พูดก็ไม่เก่ง แล้วก็ดูไม่ค่อยอยากพูดด้วย เย็นชามาก ตอนนั้นพวกเรายังคิดเลยว่าเป็นแฟนคลับของลู่จยาต้องแย่แน่ๆ เพราะเธอไม่ค่อยพูดจา ไม่รู้จักเอาใจแฟนคลับหรือพูดขอบคุณแฟนคลับเลย’
‘เห็นด้วยกับความคิดเห็นข้างบน ผมเป็นผู้ชายนะ อย่างแรกที่ดูก็ต้องดูรูปร่างหน้าตาของสาวๆ แน่นอน ฮว่าถิงกับลู่จยาหน้าตาสวยทั้งคู่ แต่ส่วนตัวผมรู้สึกว่าลู่จยาจะออกไปทางใสๆ แต่เพราะเธอชอบแต่งตัวด้วยสีดำใช่ไหมล่ะ ส่วนฮว่าถิงเนี่ยรู้ว่าตัวเองควรแต่งตัวยังไงมากกว่าเลยมีเสน่ห์น่าหลงใหล ทุกครั้งที่ฮว่าถิงถอดหมวกกันน็อกแล้วสะบัดผมเป็นลอนๆ ออกมา เห็นแล้วก็ใจหวิวๆ จังหวะนั้นเลยที่ผมตัดสินใจจะเป็นแฟนคลับฮว่าถิงไปตลอดชีวิต’
‘นี่ๆๆ กระทู้นี้ไม่ได้ถามว่าลู่จยาหรือฮว่าถิงใครสวยกว่ากัน จะว่าไปพวกคุณมั่นใจได้ไงว่าเจ้าของกระทู้คือลู่จยา’
กว่าลู่จยาจะเห็นความคิดเห็นพวกนี้ก็ผ่านไปสองวันแล้ว เพราะสองวันที่ผ่านมานั้นนักแข่งรถสาวมัวยุ่งอยู่กับการต้อนรับนางฟ้าแม่ทูนหัวของเธอ
หมิ่นลู่บินกลับมาจากยุโรปแล้ว
เช้านั้นเฉิงอี้เหิงกำลังพักผ่อนอยู่ในคอนโดฯ ส่วนลู่จยาก็ยังนอนหลับอุตุอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังกริ๊งๆๆ ขึ้นมาแถมยังสั่นไม่หยุด ตอนที่ลู่จยารับโทรศัพท์ เสียงของหมิ่นลู่ก็ดังลอดออกมาเกือบจะทำให้ลำโพงระเบิด
‘ลู่จยา! เธอเกิดอุบัติเหตุจนขาหักทำไมถึงไม่บอกฉันสักคำ นี่ยังเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่ไหม?!’
ลู่จยาขยี้ตาด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่งถึงรู้ตัวว่าเสียงที่ตะโกนออกมานั้นเป็นเสียงของใคร เธอยื่นโทรศัพท์ออกไปสุดแขนแล้วตะโกนกลับไป ‘เจ๊หมิ่น! เธอบินไปยุโรปสามเดือนไม่ใช่หรือไง’
‘แล้วทำไมไม่ไปหาเว่ยอิ้ง?!’
เมื่อพูดถึงเว่ยอิ้งรอยยิ้มบนใบหน้าของลู่จยาก็ค่อยๆ จางไป
‘เขาไปแข่งที่ยุโรป พวกเธอไม่ได้เจอกันที่ยุโรปหรือไง’ ลู่จยาถาม
‘ไม่เจอ’ หมิ่นลู่ไม่ได้ฟังว่าน้ำเสียงของลู่จยามีความผิดหวังเจือปนอยู่ ‘ฉันเพิ่งลงจากเครื่อง เธออยู่ที่โรงพยาบาลไหนน่ะ ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้เลย’
‘ฉันไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว’
‘งั้นเธออยู่ที่ไหน’
‘บ้านคนอื่นน่ะ’
‘คนอื่นไหน’
‘หมอของฉันเอง’
‘แล้วบ้านเธอล่ะ’
‘ครบกำหนดเช่าตามสัญญาไปแล้ว และฉันก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าต่อด้วย สโมสรเองก็ยกเลิกสัญญากับฉันไปแล้ว’
ลู่จยาได้ยินเสียงหมิ่นลู่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
‘นี่เธอ! ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมให้รู้จักเก็บเงินเอาไว้บ้าง ไม่ใช่ใช้จนไม่เหลือแบบนี้ เธอนี่มัน…’
‘เอาล่ะๆ ลู่ลู่พอเถอะ ฉันขาหักอยู่นะ’
‘เธอรู้ตัวเหมือนกันนี่ว่าขาหัก ส่งที่อยู่มา ฉันจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้’
ถ้าเปรียบลู่จยาเป็นเสือดาวตัวน้อย ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเสือสาวเจ้าป่าอย่างหมิ่นลู่แล้ว เธอกลับเป็นได้แค่แมวเหมียวตัวเล็กๆ เท่านั้น
ลู่จยาจึงได้แต่ส่งที่อยู่ของคุณหมอเฉิงให้หมิ่นลู่แต่โดยดี