ครึ่งชั่วโมงต่อมาหมิ่นลู่ในชุดแอร์โฮสเตสเต็มยศก็ลากกระเป๋ามาปรากฏตัวที่หน้าคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิง
“คุณคือหมอคนนั้น” หมิ่นลู่ไม่อยากจะมองหน้าของเขาด้วยซ้ำ เธอผลักเฉิงอี้เหิงแล้วเดินเข้าห้องไปพร้อมกวาดตามองรอบๆ “ลู่จยาล่ะ”
เฉิงอี้เหิงไม่อาจขวางหมิ่นลู่ไว้ได้ เขาโดนไล่ต้อนจนต้องถอยไปหลายก้าว
หมิ่นลู่เดินกลับมาตรงหน้าเฉิงอี้เหิงแล้วจ้องชายหนุ่มด้วยความสงสัย “คุณไม่ได้ทำอะไรจยาจยาใช่ไหม”
เฉิงอี้เหิงยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจพร้อมก้าวถอยหลัง “ลู่จยาแค่มาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้นครับ”
หมิ่นลู่ข่มขู่ทันที “ถ้าคุณกล้าทำอะไรลู่จยา ฉันจะตัดแขนคุณแน่!”
“ลู่ลู่” เมื่อได้ยินเสียงจากด้านนอก ลู่จยาที่อาบน้ำอยู่ในห้องน้ำก็รีบพันผ้าเช็ดตัวเดินออกมาห้ามหมิ่นลู่เอาไว้ทันทีก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามไปใหญ่โต “เธอใจเย็นๆ ก่อน คนเขาใจดีอุตส่าห์ให้ฉันพักด้วย”
ความสนใจของหมิ่นลู่ไม่ได้อยู่ที่คำว่า ‘ใจดีให้พักด้วย’ แต่อยู่ที่ลู่จยาซึ่งตอนนี้มีแค่ผ้าเช็ดตัวพันตัวเอาไว้
ลู่จยาลากตัวหมิ่นลู่เข้าไปในห้องนอนของตัวเองจากนั้นก็ปิดประตู
“นี่พวกเธอ…พวกเธอไปถึงขั้นไหนกันแล้ว”
“ขั้นไหนอะไร” ลู่จยาถามอย่างงุนงง
หมิ่นลู่เปิดโหมดนักสืบ “ออกมาจากห้องน้ำโดยมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแสดงว่าพวกเธอคงสนิทกันมาก แล้วก็ไม่ได้แบ่งชายแบ่งหญิงด้วย พูดตรงๆ นะ พวกเธอ…ทำอย่างว่ากันแล้วหรือเปล่า”
“เจ๊หมิ่น เธอพูดบ้าอะไรเนี่ย!” ลู่จยาตะโกน “ก็แค่…ฉันรู้สึกว่าเขาชอบฉันอยู่เหมือนกันเท่านั้นเอง เท่านั้นเองจริงๆ”
หมิ่นลู่ปรายตามองอย่างไม่อยากเชื่อ “ลู่จยา ฉันเตือนไว้ก่อนเลย เธออย่าไปหลงรักเขาล่ะ แล้วจู่ๆ เธอมาอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าเนี่ย ถ้าคนอื่นรู้เข้ายังไงก็ไม่ดี อย่าลืมว่าเธอเป็นที่รู้จักในสังคมนะ”
พอได้ยินคำพูดของหมิ่นลู่ ความรู้สึกของลู่จยาก็จมดิ่งลงไปทันที “แต่ตอนนั้นฉันไม่มีที่ไปจริงๆ นะ เธออยู่เมืองนอกด้วย ตอนเกิดอุบัติเหตุฉันก็มีแต่เรื่องทำให้ชื่อเสียงเสียหาย ทั้งโดนสโมสรไล่ออก ทั้งห้องเช่าก็ถึงกำหนด…”
หมิ่นลู่ยกมือขึ้นทำท่าบอกให้เธอหยุดพูด ก่อนจะเดินสำรวจไปรอบๆ ห้องจนพบกระเป๋าเดินทางสองใบ หมิ่นลู่ลากมันออกมาแล้วโยนไปตรงหน้าของลู่จยา “เก็บของซะ แล้วไปกัน”
“ไปไหน” ลู่จยาถามอย่างระแวง
“ก็ต้องไปบ้านฉันสิ เธอจะมาอยู่บ้านผู้ชายแปลกหน้าอย่างนี้ได้ยังไง”
“แต่ว่าฉัน…หมิ่นลู่ฟังฉันพูดก่อนนะ คุณหมอเฉิงไม่ใช่ผู้ชายแปลกหน้า เขาไม่ทำอะไรฉันหรอก ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นหมอประจำตัวของฉันด้วย กว่าขาฉันจะหายดีให้ฉันอยู่กับเขาที่นี่น่าจะสะดวกกับการฟื้นฟูมากกว่า แล้วต่อให้ขาฉันหายดีก็ยังต้องทำกายภาพบำบัดอยู่ดี ไม่มีเขาไม่ได้นะ”
“เชอะๆๆ”
หมิ่นลู่มองลู่จยาด้วยสายตาดูถูก แต่ทำได้ไม่เท่าไหร่เธอก็พูดออกมาว่า “ไม่มีเขาไม่ได้งั้นเหรอ นี่! ลู่จยา ฉันว่าเธอหลงรักเขาแล้วใช่ไหม” แอร์โฮสเตสสาวจิ้มไปที่หน้าผากของลู่จยา จากนั้นก็ตะโกนเรียกเฉิงอี้เหิงให้เข้ามาในห้องแล้วถามเขา “คุณจะตัดสินใจเรื่องนี้ยังไง”
“เมื่อกี้ผมได้ยินที่ลู่จยาพูดหมดแล้ว ผมคิดว่าเธอมีเหตุผล เธออยู่ที่นี่ก็สะดวกกว่าอยู่กับคุณจริงๆ”
“เพราะอะไร”
“อย่างแรก ก่อนหน้านี้ผมได้ยินว่าคุณเป็นแอร์โฮสเตส ต่อให้ไม่ได้บินเส้นทางยุโรปแล้วแต่ก็ยังต้องบินเส้นทางในประเทศใช่ไหมล่ะ คุณลองคิดดูนะ ตอนนี้ลู่จยาเป็นผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวไม่สะดวก งานแบบคุณคงหาเวลามาดูแลเธอทุกวันไม่ได้แน่นอน ถ้าตอนที่คุณต้องเดินทางหลายวันแล้วลู่จยาอยู่ที่บ้านคุณคนเดียวเกิดล้มกระแทกขึ้นมาจะจัดการอะไรๆ ก็ไม่สะดวก แต่ผมน่ะต่อให้งานยุ่งก็ยังมีเวลากลับบ้านทุกวัน อย่างที่สอง บาดแผลของลู่จยายังไม่หายดีอาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ก็ต้องรีบส่งตัวเธอไปโรงพยาบาล หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก ผมคิดว่าการดูแลของคุณน่าจะไม่ดีเท่าผม เพราะยังไงซะผมก็เป็นหมอของเธอ”
คำพูดของเฉิงอี้เหิงเป็นเหตุเป็นผลจนหมิ่นลู่ไม่อาจจะคัดค้านอะไรได้
หมิ่นลู่จึงทำได้แค่คว้ากระเป๋าเดินทางของตัวเองแล้วชี้นิ้วไปทางเฉิงอี้เหิงก่อนข่มขู่เขา “ก็ได้ ยังไงซะตอนนี้ฉันก็บินในประเทศ อีกไม่กี่วันฉันจะกลับมาเช็กดู ถ้าฉันรู้ว่านายคิดอะไรไม่ดีหรือทำอะไรไม่ดีกับลู่จยาของฉัน ฉันเอานายตายแน่”
ลู่จยาสูดหายใจลึกเพื่อสงบจิตใจตัวเองพร้อมบ่นพึมพำอยู่ในใจ ‘เจ๊หมิ่นนะเจ๊หมิ่น เธอมีสิทธิ์อะไรไปข่มขู่เฉิงอี้เหิงแบบนั้น’
“คุณวางใจได้เลยครับ ผมรับรองว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณเรียกร้องแน่นอน” เฉิงอี้เหิงใช้คำพูดเป็นทางการเพื่อหวังให้หมิ่นลู่ยำเกรง