หลังจากออกตรวจคนไข้เรียบร้อยเฉิงอี้เหิงก็กลับมาที่ห้อง ยืดตัวบิดขี้เกียจจากนั้นจึงนั่งลงแล้วค่อยหันมาพูดกับลู่จยา “จากอาการของคุณ ผมว่าคุณควรจะรักษาตัวในโรงพยาบาลต่อสักอีกระยะหนึ่ง”
“ไม่แล้ว” ลู่จยาบอก “ฉันไม่มีเงิน”
เฉิงอี้เหิงเงยหน้าขึ้นมองเธอ เขายิ้มพร้อมกับคิดในใจว่า ไม่รู้คนที่พูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะและใช้เงินเป็นเบี้ยคนนั้นหายไปไหนแล้ว ตอนนี้ถึงเหลือแต่คนที่ร้องว่าไม่มีเงินในตอนนี้
“เรื่องเงินไม่เป็นไร ผมช่วยคุณได้” เฉิงอี้เหิงบอก ค่าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลของลู่จยานั้นไม่มากนักสำหรับเขา เฉิงอี้เหิงจึงยังหวังว่าเธอจะรับการรักษาในโรงพยาบาลต่ออีกสักระยะ โดยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั่นให้เอง
“ไม่ล่ะ คุณช่วยเหลือฉันมามากพอแล้ว” จริงๆ แล้วที่ลู่จยารีบร้อนออกจากโรงพยาบาลนั้นไม่ใช่แค่เพราะไม่มีเงินเหลือเลยสักแดงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลมานานพอแล้ว การที่มีนักข่าวมารบกวนเธอแทบทุกวัน อีกทั้งยังมีคุณตำรวจเหลิ่งโผล่มาเป็นระยะๆ ทั้งหมดนั่นทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่สุด เธออยากจะกลับไปอยู่ในโลกใบเล็กๆ ของตัวเองที่ไม่ต้องมีใครมารบกวน และจะได้ใช้ช่วงเวลาที่ได้อยู่คนเดียวคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ในช่วงเวลานี้เธอกับเฉิงอี้เหิงก็ถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่หากเธอออกจากโรงพยาบาลไปแล้วก็ไม่รู้เลยว่าต่อไปจะมีโอกาสได้เจอเขาอีกมากน้อยแค่ไหน ทว่าจนถึงตอนนี้เฉิงอี้เหิงก็ยังไม่คิดจะพูดอะไรออกมา
ลู่จยานึกถึงกระทู้ ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ ที่เธอเขียนขึ้นและกำลังคิดว่ากระทู้นั้นก็ควรจะจบลงเพียงเท่านี้
การที่คิดไปเองว่าเขาชอบเธอคงนับได้ว่าเป็นการมโนครั้งใหญ่ในชีวิตของลู่จยา
“ถ้าคุณออกจากโรงพยาบาลแล้วจะไปอยู่ที่ไหนครับ จะมีคนคอยดูแลหรือเปล่า” เฉิงอี้เหิงเอ่ยถาม
“ไม่มีหรอก แต่ฉันมีห้องที่เช่าไว้แล้ว เรื่องดูแลตัวเองทั่วๆ ไปฉันก็ยังทำเองได้ คุณวางใจเถอะ หรือถ้าคุณไม่สบายใจจริงๆ จะมาเยี่ยมฉันได้นะคะ”
“ได้สิ ผมต้องไปหาคุณแน่นอน” เฉิงอี้เหิงตอบรับอย่างรวดเร็ว
วันรุ่งขึ้นเฉิงอี้เหิงก็เปลี่ยนเวรเพื่อมาเป็นธุระช่วยทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้กับลู่จยา และหลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วเขาก็ไปส่งเธอกลับบ้าน
ลู่จยาเช่าคอนโดฯ สไตล์ลอฟต์สำหรับอยู่คนเดียวเอาไว้ มันเป็นคอนโดฯ ที่ตั้งอยู่ในย่านที่แพงที่สุดของเมือง อ. ทว่าตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุเธอก็ไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย วันนี้เมื่อเฉิงอี้เหิงขับรถมาส่งเธอถึงคอนโดฯ ทั้งคู่จึงไม่คิดว่าจะได้เจอกับเจ้าของห้องที่ชั้นล่าง และที่คิดไม่ถึงยิ่งไปกว่านั้นก็คือเจ้าของห้องได้ทำตามสิ่งที่ระบุเอาไว้ในสัญญาเรียบร้อยแล้ว นั่นคือปล่อยห้องของเธอให้คนอื่นเช่าเพราะลู่จยาไม่ได้แจ้งล่วงหน้าหนึ่งเดือนว่าจะอยู่ต่อ และมีกำหนดเวลาให้ลู่จยาย้ายของออกไปภายในอาทิตย์นี้
คราวนี้เป็นเรื่องเลย
ลู่จยาหอบสัมภาระมากมายของตัวเองมายืนอยู่ที่ชั้นล่างของคอนโดฯ เธอยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวคล้ายตุ๊กตาที่ถูกโยนออกมาจากบ้าน
พ่อแม่ของลู่จยาเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ตอนเธออายุสิบสี่ ซึ่งหลังจากตอนนั้นเธอก็ได้เข้าสู่วงการแข่งรถ ลู่จยาที่ไปพักอาศัยอยู่กับครอบครัวของหมิ่นลู่และเลี้ยงตัวเองด้วยเงินเดือนที่สโมสรจ่ายให้ จนกระทั่งเธอมีความสามารถมากพอจึงย้ายออกมา และหลังจากย้ายออกมาแล้วเธอก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตลอด
เวลานี้ลู่จยาพยายามคิดทบทวนดูว่ามีคนในวงการคนไหนที่เธอพอจะขอความช่วยเหลือได้บ้าง ทว่าตั้งแต่เธอเกิดอุบัติเหตุคนในวงการแข่งรถต่างพากันหลีกหนี ส่วนหมิ่นลู่นั้นเป็นแอร์โฮสเตสซึ่งกำลังบินเส้นทางระหว่างประเทศนั่นจึงหมายความว่าหมิ่นลู่จะไม่อยู่ในประเทศอีกนาน ดังนั้นเธอจึงต้องกัดฟันโทรหาเว่ยอิ้ง
ลู่จยารู้จักกับเว่ยอิ้งตอนเข้าสโมสรไปแล้ว เวลานั้นเว่ยอิ้งเริ่มมีชื่อเสียงในวงการและได้รับการขนานนามว่า ‘นักบิดฟ้าประทานรุ่นเยาว์’ ช่วงแรกๆ ที่เพิ่งเข้าสโมสรลู่จยายังไม่รู้จักใครเท่าไหร่ แม้ว่าในสโมสรจะมีคนที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอไม่น้อยแต่คนที่ยินดีใกล้ชิดและยอมเล่นกับเธอมีเพียงเว่ยอิ้งเท่านั้น
เว่ยอิ้งเป็นเหมือนแสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่สาดส่องมายังลู่จยา
แสงอาทิตย์นี้ทำให้ช่วงเวลาวัยรุ่นของเธออบอุ่น เว่ยอิ้งทำให้เธอกลายเป็นดอกทานตะวัน ขอเพียงแค่ได้หันไปทางดวงอาทิตย์ลู่จยาก็จะเบ่งบาน
แต่ความสัมพันธ์ของดอกทานตะวันกับดวงอาทิตย์นั้นไม่มีทางยืนยาว ดวงอาทิตย์แขวนลอยอยู่สูงและไกลออกไป ส่องแสงสว่างไปทุกที่ แต่ดอกทานตะวันเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ดวงอาทิตย์สาดส่องแสงลงมาให้เท่านั้นเอง
ดอกทานตะวันมีใจกับดวงอาทิตย์ แต่ดวงอาทิตย์กลับหลงรักทิวทัศน์อื่น ซึ่งก็คือหมิ่นลู่