เวลาผ่านไปจนถึงตอนเย็น เฉิงอี้เหิงเลิกงานกลับมาที่คอนโดฯ แล้ว แต่เรื่องราวยังไม่สงบลง
ลู่จยาตัดสินใจไม่อัพเดตอะไรในช่วงนี้ และจากที่เธอยื่นคำร้องไป ในที่สุดกระทู้ก็ไม่อนุญาตให้แสดงความคิดเห็นอีก แต่ถึงแม้ว่าหลายๆ ข้อความจะถูกลบไปแล้ว ทว่าไฟป่าก็ยังดับไม่สนิท หากมีลมพัดมาไฟก็พร้อมจะลุกติดได้อีก ในกลุ่มเองก็เริ่มมีการเขียนกระทู้ใหม่เพื่อวิจารณ์เรื่องนี้ขึ้นมา
สำหรับเรื่องซุบซิบนินทานั้นดูเหมือนจะเป็นพรสวรรค์ของมนุษย์ การเจอเรื่องแบบนี้ก็เหมือนได้ยากระตุ้น แม้จะถกเถียงกันทั้งวันแล้วได้ข้อสรุปไม่กี่อย่าง แต่ผู้คนก็ยังมีความสุขที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันต่อไป
ยิ่งมีกระทู้มากขึ้นเท่าไหร่ ใจของลู่จยาก็ยิ่งไม่สงบ
ลู่จยาเข้าไปดูทุกกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับ ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ ในนั้นดูเหมือนว่าทุกคนก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรใหม่ๆ มาเปิดเผย เธอแอบรู้สึกโชคดีอยู่บ้างที่คนรอบข้างไม่มีใครเห็นกระทู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นพยาบาลในโรงพยาบาล หรือคนที่ทำงานในสโมสร หากพวกเขาเห็นกระทู้นี้ยังไงก็จะต้องรู้ว่าเป็นเธอแน่นอน ถึงเวลานั้นเธอคงจบเห่แล้วจริงๆ
เฉิงอี้เหิงทำกับข้าวเรียบร้อยก็เรียกลู่จยาออกไปกิน เธอนั่งใจลอยอยู่บนเก้าอี้ แล้วอยู่ๆ ตรงหน้าของเธอก็พลันสว่างไสวขึ้น เฉิงอี้เหิงยื่นช่อดอกไม้ส่งให้เธอราวกับกำลังเล่นมายากล
“สุขสันต์วันเทศกาลครับ”
“เทศกาลอะไร”
“วันสตรีสากลไง”
ลู่จยาหัวเราะพรืดออกมา เธอยื่นมือออกไปรับดอกไม้แล้วสูดกลิ่นหอมของมันเข้าไปเต็มปอด “ตั้งอีกนานกว่าจะถึงวันสตรีสากลไม่ใช่เหรอ”
“ช่วงนี้เห็นคุณใจลอยบ่อยๆ ในหนังสือบอกไว้ว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะชีวิตขาดสิ่งแปลกใหม่”
“คุณถึงมอบดอกไม้ให้ฉันเหรอ”
เฉิงอี้เหิงพยักหน้ารับก่อนจะหยิบไวน์แดงออกมาจากทางด้านหลัง “แล้วก็มีเจ้านี่ด้วย”
“ดอกไม้คู่กับไวน์แดงและสาวงาม นับเป็นความสมบูรณ์แบบอย่างที่สุด”
ทว่าได้ยินคำว่า ‘สาวงาม’ แล้วยังไม่ทันที่ลู่จยาจะได้ปลาบปลื้มใจก็กลับคิดถึงหน้าตาของตัวเองขึ้นมาเสียก่อน เธอรีบยกมือขึ้นมากุมใบหน้าเอาไว้ “นี่คุณกำลังประชดฉันใช่ไหม ฉันไม่ได้แต่งหน้าเลยสักนิด”
เฉิงอี้เหิงเดินมาตรงหน้าแล้วค่อยๆ ดึงมือของลู่จยาออก เขาจ้องดวงตาของเธอก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ “ตอนที่คุณหน้าสดน่ะดูสวยมากเลยล่ะ”
ลู่จยารู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเห่อร้อนขึ้นมา “คุณพูดจริงใช่ไหม”
“จริงสิ” เฉิงอี้เหิงพยักหน้า “ไม่ว่าในชีวิตจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณไม่สบายใจขึ้นมา แต่คุณยังต้องมีความหวังสำหรับวันพรุ่งนี้เสมอนะ” เฉิงอี้เหิงบอกเธอ
ลู่จยารู้สึกประทับ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเธอประทับใจตรงไหน
เฉิงอี้เหิงลูบศีรษะของเธอ “กินอาหารกันเถอะ เดี๋ยวผมรินไวน์แดงให้”
ตอนนี้เองลู่จยาถึงเห็นว่าเฉิงอี้เหิงทำอาหารยุโรปหน้าตาน่ากินไว้เต็มโต๊ะ เขาใส่ใจขนาดเตรียมเทียนไขไว้อีกด้วย
เธอที่ยังอยู่ในชุดนอน ผมเผ้ายุ่งเป็นรังนก แต่กลับได้มานั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา ดื่มด่ำบรรยากาศอาหารค่ำใต้แสงเทียนก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองช่างเป็นคนที่โชคดีอะไรเช่นนี้
แต่ความรู้สึกว่าตนช่างโชคดีนั้นก็ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว เธอยังกังวลถึงเรื่องราวในกระทู้ที่ลุกลามไปทั่วจนอดจะหยิบมือถือขึ้นมาเช็กโต้วปั้นไม่ได้
ถ้าไม่ดูแต่แรกเธอคงปล่อยให้มันแล้วๆ ไปได้ แต่เมื่อได้เปิดดู ใจของเธอก็แทบจะระเบิด กระทู้นั้นถูกแชร์เข้าไปในเวยป๋อแล้ว
ตอนที่กดเข้าไปดูก็มียอดแชร์ไปแล้วเป็นพันครั้ง แถมยังมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นอีกสามพันกว่าข้อความ คนกดไลค์ไปมากกว่าหนึ่งหมื่นครั้ง
ลู่จยาเงยหน้าขึ้นมองเห็นเฉิงอี้เหิงที่กำลังหั่นสเต๊กด้วยท่าทางจริงจัง อยู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าสเต๊กที่อยู่ในปากนั้นช่างฝืดคอ
เธอจิบไวน์แดงแล้วลุกขึ้นพูดกับเฉิงอี้เหิง “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะ”
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำ ลู่จยาก็รีบติดต่อไปหาบล็อกเกอร์ที่แชร์กระทู้เรื่องนี้และบอกฝ่ายนั้นไป