แต่เดินมาได้ไม่ไกลนักอยู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนพลังทั้งหมดถูกสูบออกไป ตัวเธอคล้ายลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม ทำได้แค่ลากขาเดินไปข้างหน้า ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ยิ่งพบว่าฝนตกหนักขึ้น ถึงไม่มีนักข่าวตามมาแต่ลู่จยาก็รู้ดีว่าบ่ายนี้จะต้องมีข่าวของเธอออกไปอย่างแน่นอน และเธอก็จะต้องถูกผู้คนด่าทออีก
เธอต้องรีบกลับไปที่ห้องแล้วซ่อนตัวไว้ อย่างน้อยๆ ในตอนนี้ที่ตรงนั้นก็เป็นโลกใบเล็กๆ ของเธอ ยังมีเวลาอีกอาทิตย์ให้หลบซ่อนตัวได้
ฝนตกลงมาเม็ดใหญ่ราวกับไข่มุกที่ขาดจากสาย ลู่จยายื่นมือออกไปเพื่อโบกรถ แต่แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าตัวเองไม่เหลือเงินเลยแม้แต่นิดเดียว
เงินทั้งหมดของเธอถูกนำไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ หมดแล้ว ลู่จยาหยิบโทรศัพท์ออกมา เธอคิดจะโทรขอความช่วยเหลือจากใครสักคน หลังคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงกดเบอร์โทรศัพท์ของเฉิงอี้เหิงออกไป เสียงสัญญาณดังขึ้นสองครั้งเธอก็ได้สติจึงรีบกดวางสาย แต่เพียงครู่เดียวเฉิงอี้เหิงก็โทรกลับมา เขาถามว่าเธออยู่ที่ไหน ลู่จยาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกชื่อธนาคารไป จากนั้นเธอจึงวางสายแล้วเดินต่อไปข้างหน้าเหมือนคนไร้วิญญาณ
โลกทั้งใบเหมือนถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยเมฆหมอก รถประจำทาง คนเดินถนน ร่ม ทุกสิ่งเคลื่อนไหวไปมาอย่างรีบร้อน มีเพียงเธอคนเดียวที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน
เธอเปียกปอนไปทั้งตัว และเพราะเดินไม่ถนัดจึงทำให้เธอดูเหมือนตัวตลกที่เดินอยู่บนโลกด้วยความยากลำบาก เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ ลู่จยาก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา เธอไม่อยากจะเดินอีกต่อไปแล้ว เธออยากจะสูญสลายหายจากโลกนี้ไปเลย
ลู่จยาต้องการนั่งยองๆ และใช้ไม้ค้ำวางไว้ที่ข้างๆ เท้า แต่เธอไม่อาจค่อยๆ นั่งยองๆ ลงไปได้ สุดท้ายจึงนั่งแหมะลงไปบนพื้นเสียเลย จากนั้นก็ปล่อยให้สายฝนชะล้างเธอไปทั้งตัว
คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ลู่จยาใช้มือข้างหนึ่งจับไม้ค้ำเอาไว้ ตอนนั่งลงไปมันง่าย แต่คิดจะลุกขึ้นยืนมาใหม่นั้นต้องใช้พละกำลังมาก เธอพยายามอยู่นาน อดทนต่อความเจ็บปวดเพื่อจะยืนขึ้น แต่ก็โยกไปโยกมาแล้วล้มลงไปหลายครั้ง
แบบนี้ก็แล้วกัน หายไปแบบนี้เลยก็แล้วกัน
เสียงเล็กๆ จากก้นบึ้งของหัวใจว่าอย่างนั้น
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” น้ำเสียงอันอบอุ่นดังขึ้น มีคนเข้ามาช่วยพยุงเธอที่เปียกไปทั้งตัวขึ้นมา ลู่จยาหันกลับไปมองก็เห็นใบหน้าของเฉิงอี้เหิงปรากฏในสายตาของเธอ
แม้ว่าการมองเห็นของเธอจะถูกสายฝนบดบังจนพร่ามัวไปหมด แต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าเฉิงอี้เหิงกำลังกางร่มให้เธอ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” เฉิงอี้เหิงดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ตบหลังเบาๆ เพื่อปลอบประโลม
คำพูดปลอบโยนนั้นได้ทำลายกำแพงหนาๆ ของเธอลง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาลู่จยาต่อสู้บากบั่น เธอยอมให้ตัวเองบาดเจ็บแต่ไม่ยอมร้องไห้ออกมาให้ใครเห็น แต่แล้วในที่สุดเธอก็ไม่อาจแบกรับไว้ได้อีก ลู่จยาที่อยู่ในอ้อมกอดของเฉิงอี้เหิงร้องไห้เสียงดัง
“ฉันไปที่ธนาคารมาได้เจอกับแม่ของฮว่าถิงแล้วก็พวกนักข่าว แล้วก็เกิดมีเรื่องปะทะกับพวกเขาเข้า ฉันว่าพวกนั้นจะต้องเขียนอะไรมั่วๆ อีกแน่” ลู่จยาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไหล่ของเธอยังสั่นไม่หยุด
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว” เฉิงอี้เหิงลูบศีรษะของเธอพร้อมกับพูดขึ้น “ผมอยู่ตรงนี้ตลอด ผมจะอยู่เคียงข้างคุณนะ”
ลู่จยาจำไม่ได้แล้วว่าเธอร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่และร้องไห้เพราะอะไร แต่ในตอนนี้เมื่อต่อมน้ำตาถูกเปิดออกแล้วก็ราวกับว่ามีฝนห่าใหญ่ในรอบร้อยปีมาชำระล้างตะกอนในใจที่ถูกเก็บไว้หลายปีออกไปจนหมด
เฉิงอี้เหิงพยายามประคองลู่จยาที่ร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตา รู้สึกได้ว่าร่างของนักแข่งสาวนั้นอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการพาเธอขึ้นรถ เฉิงอี้เหิงเอื้อมไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ ขณะที่เขาดึงตัวกลับมาใบหน้าของทั้งสองคนก็อยู่ใกล้กันมากโดยไม่ทันตั้งตัว คล้ายว่าอากาศในบริเวณนั้นแข็งตัวไปในทันที ลู่จยาหยุดสะอื้น เธอเบิกตาแดงๆ ของตัวเองจ้องมองเขา ส่วนเฉิงอี้เหิงก็เอียงคอมองตอบเธอด้วยท่าทางแปลกๆ
จู่ๆ บรรยากาศรอบตัวคนทั้งคู่ก็แปรเปลี่ยนไป ลู่จยาจึงหลับตาลงอย่างช้าๆ ยื่นริมฝีปากออกมาเล็กน้อย
เธอรออยู่พักใหญ่แต่จูบที่คาดไว้ก็ไม่มาสักที เฉิงอี้เหิงถอยออกจากที่นั่งข้างคนขับ เดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่ง เขาเข้ามานั่งแล้วสตาร์ตรถ
ลู่จยาแอบมองหน้าของเฉิงอี้เหิง ใบหูของแพทย์หนุ่มแดงระเรื่อ
ลู่จยาเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาแดงๆ ของตัวเอง เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ กับการจูบที่ไม่ประสบความสำเร็จ ในรถของเฉิงอี้เหิงนั้นเปิดเครื่องทำความร้อนได้และเมื่อรวมเข้ากับอาการมึนๆ ของลู่จยา ดังนั้นเมื่อเขาหันหน้ามาอีกที เธอก็หลับไปแล้ว