ความคิดเห็นมีการอัพเดตอย่างรวดเร็ว ลู่จยาอ่านความคิดเห็นต่างๆ ไปสักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู น่าจะเป็นเฉิงอี้เหิงที่กลับมา เธอจึงลุกขึ้นยืนแล้วคว้าเสื้อคลุมโขยกเขยกเข้าไปในห้องน้ำ รีบร้อนเปิดฝักบัวเพื่อกลบเกลื่อนทุกอย่างให้เป็นปกติ
หลังจากเฉิงอี้เหิงไปซื้อชุดชั้นในที่ร้านสะดวกซื้อใต้คอนโดฯ ให้ลู่จยาเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับขึ้นมาที่ห้อง ในตอนที่เปิดประตูเข้ามาก็ได้ยินเสียงพึ่บพั่บดังอยู่ในห้องและทันเห็นแผ่นหลังของลู่จยาหายเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องอาบน้ำ นั่นทำให้เขารู้สึกสงสัยอยู่นิดหน่อยว่าผ่านมาตั้งนานแล้วเธอเพิ่งจะเข้าไปอาบน้ำอย่างนั้นหรือ เธอมัวแต่ทำอะไรอยู่ แต่แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมา นักแข่งรถก็คือนักแข่งรถ ขนาดขาเจ็บก็ยังเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนั้น
เฉิงอี้เหิงเคาะประตูห้องน้ำแล้วบอกเธอว่า “เสื้อผ้าวางอยู่หน้าประตูห้องน้ำแล้วนะครับ ผมจะเข้าครัวไปทำอะไรให้คุณกินแล้วกัน อาบน้ำเสร็จแล้วคุณเรียกผมด้วยล่ะ ผมไม่เดินเข้าไปในห้องน้ำหรอกคุณวางใจได้”
“อืม!” ลู่จยาขานรับเสียงดังจากด้านในห้องน้ำ
เมื่ออาบน้ำเสร็จลู่จยาก็สวมเสื้อคลุมไว้อย่างเรียบร้อย เธอใช้ผ้าขนหนูผืนใหม่เอี่ยมเช็ดผม พอเปิดประตูห้องน้ำออกมาเธอก็เห็นชุดชั้นในและเสื้อฮู้ดอีกตัววางอยู่ที่หน้าประตู เสื้อฮู้ดน่าจะเป็นของเฉิงอี้เหิงเพราะเธอสวมแล้วชายเสื้อนั้นปิดไปถึงน่อง
แบบนี้ออกจะรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย มีคนเตรียมข้าวของไว้ให้เธอด้วยความใส่ใจ ทั้งๆ ที่คนคนนี้ไม่ใช่ญาติของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่ใช่คนรักของเธออีกด้วย
ลู่จยาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็เดินออกมาที่ห้องครัว เธอเห็นเฉิงอี้เหิงกำลังต้มเส้นสีเหลืองๆ อยู่
“จริงๆ แล้วผมก็ทำอาหารไม่ค่อยเป็นหรอกครับ ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวก็ทำอะไรกินแบบง่ายๆ เน้นสะดวกเลยต้มเส้นพวกนี้อยู่บ่อยๆ แต่ฝีมือการต้มเส้นของผมไม่เลวนะ”
เฉิงอี้เหิงกำลังต้มเส้นสปาเกตตี้
หลังจากต้มเส้นสปาเกตตี้เรียบร้อยแล้วเขาก็เอาซอสเนื้อที่เตรียมไว้ราดลงไป มีกลิ่นหอมโชยขึ้นมา
กระเพาะของลู่จยาเริ่มส่งเสียงร้องโครกคราก
“คุณไปรอผมที่โต๊ะอาหาร เดี๋ยวผมยกออกไปให้”
ลู่จยาเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารอย่างว่าง่าย เธอนั่งลงอย่างเรียบร้อยเหมือนกับเด็กอนุบาลที่กำลังรอคุณครูแจกลูกอมอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเฉิงอี้เหิงยกจานสปาเกตตี้มาวางไว้บนโต๊ะและส่งช้อนส้อมให้เธอ ลู่จยาก็กินอย่างหิวโหย ความจริงแล้วเธอหิวมาก ทว่าเมื่อกินไปครึ่งหนึ่งเธอจึงคิดขึ้นได้ว่าต้องรักษาภาพลักษณ์ แต่มุมปากของเธอก็เต็มไปด้วยคราบซอสเสียแล้ว
ลู่จยาเงยหน้าขึ้นมองเฉิงอี้เหิงแล้วรู้สึกอยากจะบ้าตาย เธอคิดจะดึงกระดาษทิชชูมาเช็ด แต่พบว่ากระดาษทิชชูอยู่ห่างจากเธอมาก ในเมื่อทำอะไรไม่ได้เธอจึงได้แต่ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง สายตาของเฉิงอี้เหิงที่มองมานั้นราวกับว่าเคยชินกับท่าทางของเธอแล้ว เขาเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไร” จากนั้นก็ลุกขึ้นไปดึงกระดาษทิชชูด้วยท่าทางสบายๆ แล้วค่อยๆ เอื้อมตัวมาเช็ดซอสที่เลอะอยู่ตรงมุมปากของเธอออก
ในตอนนี้ลู่จยารู้สึกว่าตัวเธอเองเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงของเฉิงอี้เหิง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นักบิดสาวที่หยิ่งยโสและเย็นชาอย่างเธอเมื่อใกล้ชิดกับเฉิงอี้เหิงก็พลันกลายเป็นสาวอ่อนโยนนุ่มนิ่มไปเสียอย่างงั้น ทั้งยังกลายเป็นแมวโง่ที่เขาจะหยอกเย้ายังไงก็ได้อีก
ความอ่อนโยนของเฉิงอี้เหิงในคืนนี้ทำให้ลู่จยารู้สึกว่าโลกสามารถอ่อนโยนกับเธอได้จริงๆ และหลังจากที่กินอิ่มแล้วลู่จยาก็นอนหลับอย่างสบาย
เช้าวันรุ่งขึ้นเฉิงอี้เหิงก็มาเคาะที่ประตูห้องนอนของเธอ “ผมไปทำงานแล้วนะ วันนี้คุณอย่าเพิ่งไปเปิดเวยป๋อล่ะ ไม่ต้องออนไลน์นะเข้าใจไหม”
“ทำไมล่ะ” ลู่จยาร้องถามพร้อมขยี้ตาด้วยความงัวเงีย
“ผ่านไปสักสองสามวันคุณค่อยดูแล้วกัน เป็นเด็กดีล่ะ รอผมเอาของอร่อยกลับมานะ”
“อื้อ” ลู่จยาง่วงมากจึงไม่ได้สนใจความหมายในคำพูดของเฉิงอี้เหิงเท่าไหร่นัก แล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนต่อไป
เมื่อตื่นขึ้นมาลู่จยาก็ลืมคำพูดที่เฉิงอี้เหิงกำชับเอาไว้ไปหมดแล้วถึงได้เปิดเวยป๋อดู เวยป๋อของเธอแทบจะระเบิดแล้ว มีข้อความเป็นหมื่นข้อความถูกส่งเข้ามา และทุกข้อความนั้นล้วนแล้วแต่ด่าทอว่าเธอเป็นคนก้าวร้าวรุนแรง ไม่รู้จักสำนึกผิด
ถึงกับมีคนมาเขียนในช่องแสดงความคิดเห็นไว้ว่า
‘ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต’