ลู่จยารู้สึกหวาดกลัวมากถึงกับโยนโทรศัพท์ออกไปทันที ยังดีที่เธอเปลี่ยนเบอร์มือถือหลังจากเกิดเรื่อง ไม่อย่างนั้นคงมีข้อความและสายโทรศัพท์เข้ามาจนทำให้โทรศัพท์ของเธอระเบิดไปแล้วจริงๆ
มือของลู่จยาที่ถือโทรศัพท์อยู่กำลังสั่น ทีแรกเธอคิดจะโทรหาเฉิงอี้เหิง แต่แล้วก็นึกถึงคำเตือนของเขาเมื่อเช้าขึ้นมาได้ว่าไม่ให้เธอเข้าไปดูเวยป๋อ ลู่จยาจึงไม่ได้โทรไปหาเขา
ลู่จยานั่งอยู่ในคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงอย่างไม่เป็นสุข จนถึงตอนกลางวันท้องก็ร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาด้วยความหิว เฉิงอี้เหิงทิ้งเงินสองร้อยหยวนกับกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้บนโต๊ะ ในกระดาษเขียนว่า
‘ถ้าคุณหิวก็สั่งอาหารกลางวันมากินเองนะ บนโต๊ะมีเบอร์โทรศัพท์ร้านอาหารอยู่ หรือจะออกไปกินข้างนอกก็ได้’
เฉิงอี้เหิงเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็คิดเอาไว้อย่างรอบคอบ
ลู่จยาอยู่ที่คอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงจนแสงแดดยามบ่ายค่อยๆ สาดส่องเข้ามา การนั่งอยู่คนเดียวทำให้จิตใจว้าวุ่น เธอจึงกำเงินสองร้อยหยวนแล้วออกจากบ้านไป
เธอตั้งใจจะไปหาเฉิงอี้เหิงแล้วกินข้าวกับเขา
ลู่จยาไม่ใช่คนบ้าบิ่นไร้สติ ก่อนจะออกจากคอนโดฯ เธอจึงปลอมตัวสักหน่อย ตลอดการเดินทางก็ถือว่าราบรื่นไม่มีใครดูออก แต่ขณะที่กำลังจะเดินไปหน้าประตูโรงพยาบาลก็ไม่คาดคิดว่าจะมีคนเรียกเธอขึ้นมา คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ทั้งนักข่าวและตำรวจ ดูเหมือนจะเป็น ‘ชาวเน็ตผู้ชอบเผือก’ ซะมากกว่า หนึ่งในนั้นคือผู้หญิงที่ลู่จยาเดินผ่านไปและไม่ทันระวังจนถูกชนไหล่เข้าทำให้หมวกของลู่จยาหลุดออกขาของเธอเดินไม่สะดวกอยู่แล้วทำให้ก้มลงไปเก็บเองไม่ได้ จึงเรียกผู้หญิงคนนั้นให้ช่วยเก็บหมวกแทน ผู้หญิงคนนั้นก็ทำตามที่เธอขอ ทว่าขณะที่อีกฝ่ายเก็บหมวกขึ้นมาเตรียมส่งให้ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “คุณคือลู่จยาใช่ไหม”
ลู่จยาไม่ทันได้ตั้งตัวจึงพยักหน้ารับ
แล้วสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็เปลี่ยนไปแล้วจับตัวลู่จยาเอาไว้ หล่อนตะโกนเสียงดังบอกคนที่เดินผ่านไปผ่านมา “นี่ไง! ลู่จยาที่ทำให้ฮว่าถิง ‘ควีนออฟเดวิล’ คนนั้นตาย แถมนักข่าวยังบอกว่ามันไปอาละวาดถึงบ้านของแม่ฮว่าถิงอีก ในที่สุดวันนี้ฉันก็จับตัวแกได้แล้ว แกต้องไปขอโทษฮว่าถิงและพ่อแม่ของฮว่าถิง”
ลู่จยาคิดจะเดินหนีแต่กลับถูกผู้หญิงคนนั้นกระชากเสื้อไว้ ทั้งคู่ยื้อยุดกันอยู่นาน ทั้งที่เธอควรจะหลุดออกไปได้แล้ว แต่เพราะผู้หญิงคนนั้นเสียงดังมากจึงทำให้มีคนรุมกันเข้ามา ทุกคนดูราวกับว่ามีความแค้นร่วมกัน พวกเขาต่างโกรธเคืองกับการกระทำของลู่จยาอย่างถึงที่สุด
“ยายลู่จยา วันนี้แกต้องพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการตายของฮว่าถิงนะ!”
ไม้ค้ำของลู่จยาที่เอาออกมาด้วยนั้นก็ไม่รู้ว่าถูกดึงไปไว้ที่ไหนแล้ว
ขาของเธอยังไม่หายเป็นปกติดีจึงยืนได้ไม่ค่อยมั่นคงนัก เมื่อถูกดันไปดันมาขาก็เจ็บแปลบเข้าไปถึงหัวใจ
“ฉัน…ฉันไม่มี…” ลู่จยาเพิ่งรู้สึกว่าคำอธิบายของเธอนั้นช่างไร้น้ำหนักต่อกลุ่มคนที่บ้าคลั่ง
ตอนนี้เธอเหมือนสุนัขไร้บ้านที่ถูกคนรังเกียจและเยาะเย้ยกลั่นแกล้ง ทำได้แค่นั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่ที่พื้น เสียงด่าทอต่างๆ นานาไหลเข้ามาในหูของเธอ คำด่าเหล่านั้นราวกับน้ำที่สาดใส่
และเธอใกล้จะจมน้ำแล้ว
แต่ก่อนที่เธอจะเป็นลมหมดสติไป ลู่จยาเหมือนจะได้ยินเสียงเฉิงอี้เหิงร้องเรียกเธออยู่
หลายวันหลังจากเขาพาเธอกลับมาลู่จยาก็ได้แต่นั่งเบื่ออยู่ในคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิง เธอแทบจะไม่ออกจากคอนโดฯ อาหารสามมื้อมีเฉิงอี้เหิงเป็นคนรับผิดชอบ ถ้าเขาไม่สั่งอาหารมาก็จะเป็นคนลงมือทำอาหารเอง
ลู่จยาโยนกระดาษทิชชูที่เปียกนมลงไปในถังขยะพลางนึกว่าตัวเองถูกเฉิงอี้เหิงพากลับมาที่คอนโดฯ ยังไง
หลังพบว่าลู่จยาถูกคนรุมทำร้ายจนบาดเจ็บ เฉิงอี้เหิงก็ต้องการพาเธอไปรักษาที่โรงพยาบาล ทว่าเธอกลับไม่ยอมและยังทำตัวดื้อกับเขาอีก
‘คุณดูแผลบนหน้าของคุณสิ หนักขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมไปรักษาอีก ไม่กลัวว่าจะเป็นแผลเป็นหรือยังไง’
ลู่จยาเบิกตากว้างมองเฉิงอี้เหิง ในแววตาของเธอมีความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน ทั้งรู้สึกน้อยใจ ทั้งโกรธแค้น สับสน และไม่ยินยอม…
ในตอนนั้นเธอนั่งอยู่บนรถของเฉิงอี้เหิง เอ่ยขึ้นด้วยความเหนื่อยล้า ‘แค่แผลเล็กๆ ไม่เป็นไรหรอก’
เธอเหนื่อยมากจึงพิงหลังไปกับเบาะรถแล้วหลับไป ซึ่งก็ได้เฉิงอี้เหิงนั่นแหละที่คาดเข็มขัดนิรภัยให้กับเธอ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งลู่จยาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องรับแขกที่คอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิง และแผลบนใบหน้าของเธอก็ได้รับการดูแลเรียบร้อยแล้ว
‘คุณอย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่น ตอนนี้ก็รักษาตัวอยู่ที่คอนโดฯ ผมนี่แหละ ส่วนเรื่องในอนาคตรอให้คุณดีขึ้นกว่านี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันนะ’
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ จริงๆ แล้วลู่จยาควรจะอยู่ที่คอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงเพียงไม่กี่วัน ทว่าตอนนี้เธอกลับเริ่มใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดฯ ของเขาอย่างหน้าไม่อาย