บทที่สี่
ขณะที่หมิ่นลู่สะบัดมือเว่ยอิ้งแล้ววิ่งกลับเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นเธอก็พบว่าบรรยากาศในร้านผิดปกติมาก มีกลุ่มคนที่ล้อมวงกันเข้ามาแต่ตรงกลางกลับถูกเว้นว่างไว้
เฉิงอี้เหิงถูกล้อมไว้ตรงกลาง มุมปากเขียวช้ำและมีรอยเลือด หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แว่นตาตกอยู่ที่พื้นไม่รู้ว่าใครเหยียบแตก
หน้าผากของเขามีเหงื่อซึมออกมาจนเปียก ดวงตาเผยแววตาโหดเหี้ยม ตรงหน้าของเขามีชายสามคนถูกต่อยจนหมอบไปที่พื้นด้วยท่าทางที่แตกต่างกัน ส่วนมืออีกข้างของเขายังปกป้องลู่จยาเอาไว้
คนถูกต่อยจนหมอบไปเป็นวัยรุ่น หนึ่งในนั้นเป็นวัยรุ่นตัวอ้วนที่ยังไม่ยอมแพ้ เขาถลกแขนเสื้อขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะพุ่งออกไป หมิ่นลู่เห็นเข้าก็เลือดขึ้นหน้าตัดสินใจผลักคนที่ขวางอยู่ออกแล้วถีบเจ้าอ้วนที่เป็นหัวโจกนั่น เจ้าอ้วนถูกเตะจนมึนงงหันกลับมาเจอสาวสวยผอมสูงก็รู้สึกว่าเสียหน้ามากจึงยกมือขึ้นจะฟาดกลับไป
เว่ยอิ้งที่ตามหมิ่นลู่เข้ามาในร้านอาหารญี่ปุ่นแบบติดๆ เห็นเหตุการณ์เข้าก็รีบก้าวเท้าเร็วๆ เข้ามาแล้วพุ่งตัวไปตรงหน้าก่อนจะออกหมัดใส่ใบหน้าของเจ้าอ้วนสองทีจนเจ้าอ้วนหมอบไป วัยรุ่นอีกสองคนเห็นแบบนั้นก็ไม่กล้าจะหาเรื่องอีก
ผู้คนที่ยืนอยู่รอบๆ หลายคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาอัดคลิปไว้ ส่วนพนักงานของร้านก็ได้แต่ร้องห้าม
สุดท้ายเจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นจึงโทรแจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจมาถึงก็สอบถามจนเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตำรวจที่มานี้เคยได้ยินเรื่องราวของลู่จยามาบ้าง หลังพิจารณาสถานะในตอนนี้ของลู่จยาแล้วตำรวจก็เกรงว่าเรื่องนี้จะยิ่งทำให้เกิดคำวิจารณ์ในวงกว้างจึงขอร้องให้กลุ่มคนในเหตุการณ์ที่ถ่ายคลิปเอาไว้ให้ลบคลิปทิ้งก่อนจะปล่อยออกจากร้านอาหารไป หลังจากนั้นตำรวจก็พาคนที่ก่อเรื่องไปยังสถานีตำรวจ
เว่ยอิ้งแสดงตัวว่าตนเป็นนักแข่งรถที่มีชื่อเสียง เขาต้องการให้ทนายและผู้จัดการส่วนตัวมาถึงก่อนจึงจะยอมไปสถานีตำรวจ แต่ตำรวจไม่ได้สนใจและบอกให้เขาแจ้งทนายกับผู้จัดการส่วนตัวให้ไปเจอกันที่สถานีตำรวจแทน
ในตอนที่เตรียมจะขึ้นรถ เว่ยอิ้งก็เห็นว่ามีรถตำรวจอยู่สองคันซึ่งเบาะหลังนั่งได้แค่สามคน เว่ยอิ้งจึงเดินตามหมิ่นลู่เพื่อที่จะไปนั่งกับเธอแต่กลับถูกหมิ่นลู่ผลักออก ไล่ให้เขาไปนั่งเบียดกับวัยรุ่นที่ก่อเรื่องพวกนั้น
เว่ยอิ้งพยายามจะดึงดันแต่โดนหมิ่นลู่ใช้ประตูรถกั้นไว้
ตำรวจที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังมองท่าทางเอาเรื่องของหมิ่นลู่ก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “แม่หนูดูจะร้ายไม่เบานะ” หมิ่นลู่ค้อนใส่เขา เธอผลักประตูออกไปแล้วขึ้นไปนั่งข้างคนขับแทนและให้เฉิงอี้เหิงนั่งเป็นเพื่อนลู่จยาที่เบาะหลัง
มือของเฉิงอี้เหิงวางอยู่บนไหล่ของลู่จยาตลอดเวลาไม่ได้ปล่อยเลยแม้แต่น้อย ลู่จยาที่สวมชุดหนังและใส่หมวกแก๊ปได้แต่ก้มหน้าตลอดไม่ยอมพูดอะไร
หมิ่นลู่ที่มองพวกเขาจากทางกระจกมองหลังถามขึ้นอย่างกังวลใจว่า “คุณหมอเฉิง หน้าของคุณบาดเจ็บจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม ต้องทำแผลก่อนหรือเปล่า”
คุณหมอเฉิงส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมไม่เป็นอะไร ไปให้ปากคำกับตำรวจที่สถานีตำรวจก่อนเถอะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้หมิ่นลู่ก็เดือดขึ้นมา “ลู่จยาฉันจำได้ว่าปีชงของเธอมันผ่านไปแล้วนี่นา ทำไมเธอถึงยังซวยอย่างนี้อีก เมื่อไหร่เรื่องของฮว่าถิงนี่จะจบสักที ครั้งหน้าถ้าฉันยังเจอพวกชอบหาเรื่องแบบนี้ฉันจะตีกบาลหมาๆ ของพวกมันให้แตกยับไปเลย”
“ระวังคำพูดของคุณหน่อย ตอนนี้คุณนั่งอยู่ในรถตำรวจนะ!” ตำรวจที่หมิ่นลู่ส่งค้อนให้เมื่อครู่พูดเสียงดังออกมา