แต่เฉิงอี้เหิงไม่ได้รับรู้ความคิดของเธอ ในขณะที่ลู่จยากำลังคิดหนักอยู่นั้นเขาก็ดึงเอวของลู่จยาเข้าหาตัวเองแล้วอุ้มขึ้น ยังไม่ทันที่จะกรีดร้องจบตัวเธอก็เข้าไปนั่งอยู่ในรถเข็นเรียบร้อยแล้ว
“คุณกลัวอะไร” เฉิงอี้เหิงถาม
ลู่จยาค้อนเขาไปที “ไม่ได้กลัว”
ไม่ได้กลัว แต่เธอกำลังกังวลใจ
เธอกังวลว่าความรู้สึกของเธอจะไม่เป็นอย่างที่ควรเป็น…กังวลว่าตัวเองจะมีจุดจบเหมือนกับตอนที่มีความรู้สึกให้กับเว่ยอิ้ง
หากดอกไม้มีความรู้สึกให้แต่สายธารไม่สนใจ สุดท้ายก็จะเป็นเพียงความผิดพลาด
“งั้นพวกเราไปกันเถอะ!” เฉิงอี้เหิงไม่ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ เขาเข็นรถไปที่แผนกของสด
เฉิงอี้เหิงให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของเธอมาก ทุกครั้งที่เขาหยิบอะไรขึ้นมาก็จะต้องถามว่ากินได้ไหม ชอบกินหรือเปล่า เมื่อมั่นใจว่าเธอชอบเขาถึงวางสิ่งนั้นลงในรถเข็น
การที่เขายิ่งใส่ใจเธอแบบนี้ แถมยังดูแลเธออย่างดียิ่งทำให้ลู่จยาไม่พอใจเท่าไหร่นัก เพราะนั่นแปลว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะยิ่งห่างกันออกไปราวกับว่าเขากำลังรักษามารยาทอยู่ หรือจะพูดอีกอย่างว่าเขากำลังแสดงความรับผิดชอบอยู่ก็ได้
ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ลู่จยาถึงได้มีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา
หลังกลับถึงบ้านลู่จยาก็ถือโอกาสตอนที่เฉิงอี้เหิงกำลังยุ่งอยู่ในครัวไปอัพเดตความรู้สึกและความสงสัยของเธอลงในกระทู้
ชาวเน็ตต่างก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นปลอบใจเธอ
‘เจ้าของกระทู้อย่าสงสัยในความรู้สึกของตัวเองไปเลย! ถ้า ฉ. ไม่ชอบคุณ คิดกับคุณแค่คนไข้ธรรมดาๆ เขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องดึงคุณเข้าไปในชีวิตของเขาหรือเปล่า แล้วนี่เขายังพยายามเข้ามาในชีวิตของคุณอีก’
แต่ก็ยังมีชาวเน็ตที่พยายามทำลายความมั่นใจของเธออยู่ด้วย
‘ฉันมีความเห็นอยู่อย่างหนึ่ง มันออกจะน่ากลัวไปนิดนึงอ่ะนะ หรือว่าจะเป็นเพราะเคสของเจ้าของกระทู้เป็นเคสยากหรือเปล่า ฉ. คงอยากจะสังเกตทุกๆ ขั้นตอนในการผ่าตัด รวมไปถึงช่วงการฟื้นฟูหลังผ่าตัดด้วยก็เลยให้เจ้าของกระทู้มาอยู่กับเขาเพื่อจะได้เพิ่มประสบการณ์ตรงนี้ ข้อสันนิษฐานแบบนี้พอเป็นไปได้ไหม’
‘ฉันว่าเป็นไปได้นะ’
‘ไม่เอาสิ ฉ. กับเจ้าของกระทู้กำลังอยู่ในบรรยากาศสีชมพูนะ’
ลู่จยาอ่านหลายๆ ความคิดเห็นแล้วรู้สึกเหมือนมีก้างปลาติดคอ จะคายก็คายไม่ออก มันค้างอยู่ที่คออย่างน่ารำคาญ จนเธออดสงสัยไม่ได้ว่าอาจจะถูกก้างปลาตำคอจนตายเมื่อไหร่ก็ได้
ลู่จยาอารมณ์ไม่ดีสุดๆ จึงนอนแผ่ลงไปบนโซฟาเสียเลย จนกระทั่งตื่นขึ้นมาได้กลิ่นหอมของอาหาร ท้องก็ร้องจ๊อกๆ ขึ้นมา
นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังบอกเวลาบ่ายโมงตรง เฉิงอี้เหิงยุ่งจนเหงื่อออกเต็มหน้า แล้วในที่สุดเขาก็ยกอาหารจานสุดท้ายออกมาพร้อมส่งเสียงเรียก “คุณตื่นแล้วเหรอ รีบไปล้างมือแล้วมากินข้าวซะสิ ผมเห็นคุณนอนหลับเลยไม่ได้รีบทำเท่าไหร่ ไม่ทันดูเลยเวลาไปใช้นานขนาดนี้”
ลู่จยาก้มหน้ามองผ้าห่มบนตัวเธอ จำได้แม่นยำว่าตอนที่หลับไปนั้นไม่ได้ห่มผ้า ต้องเป็นเฉิงอี้เหิงที่กลัวว่าเธอจะหนาวแน่ๆ จึงเอาผ้ามาห่มให้ ลู่จยารู้สึกว่าในใจอบอุ่นขึ้นมา แต่ก็ยังสับสนอยู่ด้วย
“คุณหมอเฉิง” เธอเรียกเขาเต็มยศ “ทำไมคุณถึงดีกับฉันขนาดนี้”
เธอรู้สึกว่าในทีแรกที่เปิดกระทู้ ‘หมอของฉันเหมือนจะชอบฉันนะ’ ขึ้นมา มันยังมีความเป็นไปได้ว่าเฉิงอี้เหิงคงแอบชอบเธออยู่ถึงเจ็ดสิบแปดเปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้ความเป็นไปได้นั้นลดต่ำจนเหลือแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
ตอนนี้เธอค่อนข้างจะเอนเอียงไปทางชาวเน็ตที่พยายามทำลายความมั่นใจของเธอแล้ว
บางทีเขาคงแค่อยากจะเป็นหมอที่ดี ทั้งหมดที่ทำมาแต่แรกคงเพราะอยากสังเกตผลการผ่าตัดคนไข้เท่านั้น