“อยู่ๆ ทำไมถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ คุณมาอยู่ที่บ้านผมนานแล้วแต่เพิ่งรู้สึกละอายใจงั้นเหรอ” เฉิงอี้เหิงหยอกล้ออย่างอารมณ์ดีพร้อมกับจัดโต๊ะไปด้วย
หลังจากตักข้าวให้ลู่จยาแล้วเขาก็ส่งไม้ค้ำให้เธอ “ลุกเร็ว ไปล้างมือได้แล้ว คุณไม่หิวเหรอ ผมหิวจะแย่”
“ฉันไม่หิว” เธอเหยียดขาข้างที่เจ็บออกและนั่งทับข้างที่ไม่เจ็บเอาไว้ ลู่จยาเงยหน้ามองเฉิงอี้เหิงด้วยท่าทางดื้อดึง “ที่ฉันถามไปเมื่อกี้คุณยังไม่ได้ตอบเลย”
ตำแหน่งที่เฉิงอี้เหิงยืนอยู่นั้นสูงกว่าลู่จยามากทำให้เหมือนกำลังก้มมองเธออยู่ ดังนั้นเขาจึงคุกเข่าลงเพื่อให้อยู่ระดับเดียวกับเธอก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกไปจับมือของลู่จยาไว้
“คุณเป็นอะไร”
เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้ามาในตัว แล้วอยู่ๆ เธอก็อยากร้องไห้ขึ้นมา
เฉิงอี้เหิงอ่อนโยนและเป็นคนดีพร้อมขนาดนี้ สุดท้ายแล้วเขาจะเป็นของใครกันนะ
แต่ยังไงซะก็คงไม่ใช่ของเธอแน่
ทว่าตอนนี้เธอก็ได้ใช้เวลาอยู่กับเขาในช่วงระยะหนึ่ง ได้มีเขาอยู่ชีวิตของเธอ แม้มันอาจไม่นานนักแต่ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว เธอได้แต่คิดเช่นนี้
หัวใจของเธอได้ใส่เฝือกไว้เรียบร้อย หากเฉิงอี้เหิงมอบคำตอบที่เธอไม่อยากฟัง เธอก็จะยิ้มออกมาอย่างเบิกบานและทำเป็นไม่แคร์ก่อนจะแซวเขาว่า ‘ฉันแค่ล้อเล่น’ หลังจากนั้นก็จะเป็นเสียงหัวใจของเธอแตกสลายดังตามมา
เธอเตรียมพร้อมให้หัวใจแตกสลายแล้ว
เวลาที่คนเราบาดเจ็บร่างกายมีบาดแผลหนักก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอลงมาก พร้อมที่จะหลบหนีและไม่ยอมรับอยู่ตลอดเวลา
“เพราะคุณคู่ควรให้ผมทำดีด้วย”
คิดไม่ถึงว่าเฉิงอี้เหิงจะตอบแบบนี้ คำตอบของเขาเหมือนสายฝนที่อยู่ๆ ก็ตกมาในฤดูร้อน ทำให้อากาศอึดอัด ผู้คนต่างตั้งตัวไม่ทัน แม้ว่าจะรู้สึกเย็นลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอบอุ่น
จะพูดว่าเขากำลังหลบเลี่ยงเธออยู่ก็ได้
ลู่จยาไม่เชื่อว่านี่คือคำตอบจริงๆ จึงได้แต่ถอนหายใจ แผ่นหลังของเธอมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา และเธอก็ไม่อยากจะซักไซ้เรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว
ลู่จยาได้เตรียมคำพูดกลบเกลื่อนไว้ตั้งแต่แรกจึงตบไหล่ของเฉิงอี้เหิงแล้วพูดว่า “ฉันล้อเล่นน่ะ นี่รังเกียจที่ฉันมาเกาะคุณกินแล้วเหรอ ฉันรู้ เอาล่ะๆ ฉันไปล้างมือก่อน คุณกระเถิบไปหน่อย”
เฉิงอี้เหิงทำอะไรไม่ถูก เขายืนขึ้นแล้วหลีกทางให้ลู่จยาใช้ไม้ค้ำพยุงตัวไปล้างมือที่ห้องครัว
ลู่จยาเปิดก๊อกน้ำ ขณะที่มองดูสายน้ำไหลออกมาก็ราวกับได้ยินเสียงประกาศว่าการรบที่ไร้เสียงครั้งนี้เธอแพ้อย่างราบคาบ
คนเก่งทำอะไรก็ยอดเยี่ยมไปหมด ฝีมือการทำอาหารของเฉิงอี้เหิงนั้นดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป ลู่จยาจึงกินข้าวรวดเดียวถึงสองชาม ทว่าขณะที่เธอคิดจะเติมข้าวอีกก็ถูกเขาแย่งชามไป
“ผมรู้สึกว่าคุณไม่ให้เกียรติฝีมือการทำอาหารของผม”
“อะไรนะ” ลู่จยาทำหน้าไม่เข้าใจจึงถามกลับทั้งๆ ที่ยังมีอาหารอยู่เต็มปาก
“เมื่อก่อนเวลาคุณกินอาหารที่ผมทำคุณจะค่อยๆ ชิมและพิจารณามัน แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าคุณแค่จะเติมให้เต็มท้องเท่านั้น”
เฉิงอี้เหิงสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว
แต่ลู่จยาก็สามารถแก้ปัญหาไปได้ทีละเปลาะ เธอใช้ตะเกียบชี้ไปที่นาฬิกาบนผนัง “เดี๋ยวนะพี่ชาย คุณไม่ดูล่ะว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว ฉันน่ะหิวจนปวดท้องแล้วนะ!”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกล่ะ ยังจะนอนหลับอยู่อีก”
“นี่ก็เหมือนกับหนูน้อยขายไม้ขีดไฟน่ะ การนอนหลับเป็นการหลอกตัวเอง สร้างจินตนาการว่ามีอาหารน่ากินมากมายอยู่ตรงหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็จะไม่รู้สึกหิว…” ลู่จยาเริ่มพูดยืดยาว