นายตำรวจเหลิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงพูดขึ้นว่า “จะว่ามีก็ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่สะดวกที่จะบอกคุณครับ”
“เพราะอะไร ฉันเป็นผู้เสียหายนะ”
“ก็เพราะผู้เสียหายไม่ได้มีคุณแค่คนเดียว เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่นด้วยครับ ตอนนี้จึงเปิดเผยไม่ได้”
“แล้วตอนไหนถึงจะเปิดเผยได้”
“คงต้องรอพวกเราตรวจสอบคดีให้ชัดเจนก่อน หรือถ้าระหว่างนั้นต้องการความร่วมมือจากคุณ ผมจะเป็นฝ่ายติดต่อไปเอง”
“คุณตำรวจเหลิ่งหมายความว่าระหว่างนี้ฉันต้องอยู่เฉยๆ ให้คนด่าต่อไปงั้นสิ” ลู่จยาพูดอย่างโกรธๆ
นายตำรวจเหลิ่งไม่พูดอะไรออกมาอีก เขามีท่าทางลำบากใจมาก จริงๆ แล้วเขาอายุมากกว่าลู่จยาไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยสนิทกับลู่จยานั้นเมื่อต้องเจอท่าทางกดดันของเธอก็อดจะเกร็งๆ ไม่ได้
“คุณลู่…” นายตำรวจเหลิ่งพยายามจะอธิบาย
ทว่าลู่จยากลับดีดนิ้วเสียงดังขัดจังหวะคำพูดของนายตำรวจเหลิ่งแล้วใช้ไม้ค้ำดันตัวเองลุกขึ้นยืน
ขณะที่ลู่จยากำลังจะลงบันไดก็มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียนเดินเข้ามาประคองช่วยพาเธอลงไป พอเดินมาครึ่งทางลู่จยาก็คิดอะไรบางอย่างออกจึงหันไปถามกับเจ้าหน้าที่ “เอ่อ พวกคุณสามารถถูกแจ้งร้องเรียนได้ไหม”
“คุณจะร้องเรียนใครล่ะ”
“ก็นายตำรวจเหลิ่งคนนั้นไง ทำงานไม่ได้เรื่อง”
“ได้สิ”
ลู่จยานึกอยากเกเรสักครั้ง ได้แกล้งนายตำรวจเหลิ่งนั่นก็น่าสนุกดี
เมื่อมองไปก็จะเห็นว่าตอนนี้แผ่นหลังของลู่จยาที่กำลังเดินจากไปดูไม่อมทุกข์เท่าไหร่แล้ว
สามวันต่อมาลู่จยามีนัดไปถอดเฝือก เมื่อถอดออกเรียบร้อยแล้วเธอกับเฉิงอี้เหิงก็ไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในขณะที่กินอยู่นั้นเองก็ได้รับสายจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูร้อนรน
“คุณลู่! ทำไมคุณถึงได้…”
เมื่อได้ยินเสียงลู่จยาก็รู้ทันทีว่าเป็นนายตำรวจเหลิ่งที่ถูกเธอกลั่นแกล้งเมื่อหลายวันก่อน “คุณตำรวจเหลิ่งนี่เอง สืบคดีไปถึงไหนแล้วล่ะคะ”
นายตำรวจเหลิ่งอึดอัดมาก “ที่ผมบอกคุณได้ก็คือเรากู้ภาพในกล้องวงจรปิดคืนมาได้ส่วนหนึ่ง และพบว่าหลังจากฮว่าถิงเห็นคุณชนเข้ากับสิ่งกีดขวางก็ชะลอความเร็วลงจริงๆ”
“แล้ว…” ลู่จยาเอาลำโพงโทรศัพท์ขยับเข้าใกล้หูอีกนิดด้วยกลัวว่าจะได้ยินอะไรตกหล่นไป
“ไม่มีแล้ว” นายตำรวจเหลิ่งพูด “ตอนนี้กู้คืนมาได้เพียงแค่นี้”
ลู่จยานึกอยากจะเตะโต๊ะแต่ต้องห้ามใจไว้ด้วยกลัวว่าเตะไปขาจะเจ็บอีกครั้ง
พอวางสายเฉิงอี้เหิงก็ถามขึ้นว่าเธอเป็นอะไร ลู่จยาก็เล่าสิ่งที่นายตำรวจเหลิ่งบอกเธอให้เฉิงอี้เหิงฟังอย่างไม่ปิดบัง “ไม่รู้ว่าพวกตำรวจทำงานกันยังไง ตรวจสอบกันไปเดือนกว่าแต่ที่ตรวจสอบได้มีแต่เรื่องที่ฉันรู้อยู่แล้ว เอาเถอะก็ยังดี อย่างน้อยมันก็ช่วยพิสูจน์ได้ว่าฉันไม่ได้โกหก”
“ฮว่าถิงเขา…” เฉิงอี้เหิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ลดความเร็วรถแล้วจริงๆ เหรอ”
“ภาพในกล้องวงจรปิดคงไม่โกหกใคร ก่อนที่ฉันจะหมดสติฉันเห็นเธอลดความเร็วลงจริงๆ ทีแรกยังคิดว่าเป็นเพราะฉันชนเข้าอย่างรุนแรงถึงได้เห็นภาพที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าฉันไม่ได้คิดไปเอง ไม่รู้ว่าฮว่าถิงคิดอะไรอยู่ แต่เราก็ยังสรุปอะไรไม่ได้ เฮ้อ นี่ทำเอาฉันไม่มีอารมณ์กินข้าวเลย” ลู่จยาตักข้าวเข้าปากด้วยท่าทางเซ็งๆ ไม่มีความอยากอาหารหลงเหลืออยู่อีกต่อไป
เฉิงอี้เหิงกินอาหารเสร็จเรียบร้อยเขาก็รีบกลับไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลต่อ ส่วนลู่จยาเรียกรถกลับไปยังคอนโดฯ ของเฉิงอี้เหิงด้วยตัวเอง
เมื่อกลับมาถึงคอนโดฯ ลู่จยาก็รู้สึกหงุดหงิด จิตใจของเธอไม่สงบจึงล้มตัวลงนอนที่โซฟาแล้วเริ่มฟัง ‘บทสวดเจ้าแม่กวนอิม’ แต่ฟังแล้วไปครึ่งชั่วโมงก็ไม่ได้ช่วยให้จิตใจเธอสงบลงได้เลย
ลู่จยาตัดสินใจว่าต้องหาอะไรทำสักอย่าง ถ้ามีอะไรทำก็คงไม่หงุดหงิด