เฉิงอี้เหิงใช้น้ำเสียงอบอุ่นมากในการอธิบาย แต่ใจของลู่จยายังรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ การแข่งรถเป็นความถนัดของเธอในอดีต แล้วตอนนี้เธอมีความถนัดอะไรบ้างล่ะ
หรือจะถนัดการทำลายข้าวของ
เพราะเธอทำพังไปซะทุกอย่าง
ยิ่งเฉิงอี้เหิงมาพูดแบบนี้ ลู่จยายิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์
แล้วคนที่ไม่มีประโยชน์ใกล้จะเป็นขยะอย่างเธอทำไมถึงได้รับการเอาใจใส่จากเฉิงอี้เหิงเช่นนี้ เธอไม่เข้าใจจริงๆ
เฉิงอี้เหิงเห็นลู่จยาเหม่อลอยจึงพูดขึ้น “คุณรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ สวมชุดเปียกชื้นนานๆ จะเป็นหวัดเอาได้นะ”
เมื่อได้ยินเสียงเฉิงอี้เหิงปิดประตูห้องน้ำ ลู่จยาก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอหนักอึ้ง
ลู่จยาถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออก เปิดน้ำร้อนแล้วมองน้ำในอ่างอาบน้ำค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงไปจนน้ำไหลล้นออกมาบางส่วน แล้วเธอก็ค่อยๆ จมดิ่งลงไปในน้ำทั้งตัว
แรงดันของน้ำผลักเธอขึ้นมาบนผิวน้ำ
อ่างอาบน้ำของเฉิงอี้เหิงค่อนข้างใหญ่ลู่จยาสามารถยืดขาออกไปก็ยังไม่ถึงขอบอ่าง เธอช่างเหมือนกับถังน้ำมันที่ลอยอยู่ในทะเล ล่องลอยไปตามสายน้ำ
ล่องลอยอยู่ครู่ใหญ่ลู่จยาก็มองท้องน้อยของตัวเอง เธอใช้มือยันไปที่ก้นอ่างแล้วลุกขึ้นนั่ง บ่นพึมพำกับตัวเอง “นี่ฉันอ้วนขนาดนี้เลยเหรอ แต่ทำตัวเองแท้ๆ ยังจะมีหน้ามาถอนหายใจอะไรอีก”
เธอรีบอาบน้ำให้เสร็จ แต่ถึงเฝือกที่ขาจะถูกถอดออกแล้วทว่าเธอก็ยังไม่สามารถเดินได้ตามปกติเท่าไหร่นัก ลู่จยาจึงต้องคว้าราวจับที่ก่อนหน้านี้เฉิงอี้เหิงติดตั้งไว้ให้ตรงข้างอ่างอาบน้ำเพื่อดึงตัวให้ลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ
ด้านนอกของพื้นที่วางอ่างอาบน้ำมีม่านกั้นอยู่ เมื่อดึงม่านออกเธอก็เห็นเสื้อผ้าของตัวเองซึ่งพับไว้อย่างเรียบร้อยวางอยู่บนเก้าอี้ แล้วเธอก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเธอก็นำเสื้อผ้าที่เปียกโยนใส่ไว้ในเครื่องซักผ้า ฟังเสียงเครื่องซักผ้าหมุนอยู่ครู่หนึ่ง เฉิงอี้เหิงก็เข้ามาเคาะประตูส่งเสียงถาม “คุณซักเสื้อผ้าเหรอ”
ลู่จยาเปิดประตูออกทั้งที่ผมยังเปียกอยู่ บนไหล่ของเธอมีผ้าขนหนูพาดไว้ ขณะที่มือทั้งสองข้างกางวางอยู่บนเครื่องซักผ้า เธอกำลังมองเครื่องซักผ้าหมุน
“ยืนดูวิวหรือไง” เฉิงอี้เหิงเอนตัวพิงกับขอบประตูเอ่ยถาม
ลู่จยาเงยหน้าขึ้นพร้อมเช็ดผมที่เปียกไปด้วย “ถูกต้อง ถึงจะช่วยคุณทำอะไรไม่ได้ แต่เรื่องของตัวเองก็ควรจะทำเองบ้าง”
“แต่…แต่นี่เป็นเครื่องซักผ้าอัตโนมัติ คุณโยนเสื้อผ้าเข้าไปก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว” เฉิงอี้เหิงพูดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“แต่…แต่…” ลู่จยาเลียนแบบน้ำเสียงของเขา “ถ้าไม่เฝ้ามันไว้ ฉันก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรทำ”
“ผมคุณยังไม่ได้เป่าเลย มานี่ ผมช่วยคุณเป่าผมดีกว่า” เฉิงอี้เหิงเสนอ
“หา?” ลู่จยาไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายคนหนึ่งจะเป่าผมให้ผู้หญิงคนหนึ่ง นอกเสียจากว่าเป็นช่างทำผมกับลูกค้าแล้ว นี่ก็น่าจะเป็นการกระทำของคนที่มีใจให้ทำกันสินะ
“คุณไม่สะดวกใจหรือเปล่า” เฉิงอี้เหิงถาม
“ที่ไม่สะดวกคือขาของฉันต่างหาก”
“งั้นผมจะช่วยคุณเป่าผม คุณทำให้ผมสมหวังได้ไหม”
คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะจากลู่จยาได้ เธอดึงผ้าขนหนูที่อยู่บนหัวลงมาพาดไว้ที่แขน “ถ้างั้นก็ตามนั้นเลย”
เฉิงอี้เหิงหยิบไดร์เป่าผมออกมา ส่วนลู่จยานั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกอย่างเรียบร้อย เธอตั้งตารอคอยเหมือนลูกแมวกำลังรอเจ้าของมาเกาขนให้ แพทย์หนุ่มเสียบปลั๊กไดร์เป่าผมแล้วหยิบผ้าขนหนูที่พาดไว้ตรงโซฟาขึ้นมา เขาช่วยเช็ดผมให้ลู่จยาก่อนแล้วจึงถามขึ้น “ทำไมผมคุณถึงยังมีน้ำหยดอยู่อีก”
“อ้อ…ฉันลืมเช็ดน่ะ”
“คุณนี่ลืมได้ทุกอย่างเลยนะ”
จริงๆ คือเธอไม่ได้ลืมเช็ด แต่ขี้เกียจจะเช็ด
หลังจากเช็ดผมให้เธอจนหมาด เฉิงอี้เหิงก็หยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาเป่าผมให้ลู่จยาอย่างอ่อนโยน ท่าทางของเขาเป็นมืออาชีพมาก เขาเริ่มเป่าจากปลายผมของเธอด้วยลมร้อนที่ปรับไว้ได้กำลังดี อีกทั้งมือของเขายังเบามากเหมือนมีคนกำลังนวดศีรษะให้เธอเบาๆ ลู่จยารู้สึกสบายจนอยากจะหลับ
เมื่อรู้สึกผ่อนคลายตรงหน้าของลู่จยาก็ราวกับว่ามีประตูบานหนึ่งเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแสงสว่าง แล้วเฉิงอี้เหิงก็ยืนรอเธออยู่ที่ปลายแสงสว่างนั้น
ด้วยเหตุนี้เธอจึงถามออกไปโดยไม่ได้คิด “คุณหมอเฉิงที่คุณดีกับฉันแบบนี้ อ่อนโยนกับฉันแบบนี้ คุณชอบฉันหรือเปล่า”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 64)