บทที่ห้า
เฉิงอี้เหิงเห็นว่าลู่จยาอารมณ์ไม่ค่อยดีจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเอาเสื้อนอกคลุมไหล่ให้แล้วค่อยๆ พยุงตัวเธอออกไปจากสถานีตำรวจ แต่ก่อนจะออกจากสถานีตำรวจเฉิงอี้เหิงก็มอบหมายให้ทนายความจัดการเรื่องที่เหลือต่อ ทนายความจึงขอข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับวัยรุ่นทั้งสามคนกับทางตำรวจไว้
เมื่อออกจากสถานีตำรวจแล้วเฉิงอี้เหิงก็เรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง ตอนที่ทั้งคู่กำลังจะขึ้นรถ หมิ่นลู่ก็วิ่งตามมา อากาศในวันนี้ดูครึ้มๆ น่าอึดอัด ราวกับว่าบรรยากาศในโลกถูกกดดัน ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่กันที่ฝนเม็ดเล็กๆ เหล่านั้นเริ่มตกลงมา มีหมอกปกคลุมไปทั่ว อุณหภูมิก็ลดลงอย่างสัมผัสได้ชัด ราวกับว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ในเมืองแห่งเมฆหมอก
หมิ่นลู่เรียกลู่จยาเอาไว้ ลู่จยาชะงัก สายฝนโปรยปรายลงมากระทบใบหน้าของทั้งคู่ สีหน้าของหมิ่นลู่ไม่เคยดูย่ำแย่ขนาดนี้มาก่อน “ลู่จยาคำพูดเมื่อกี้เธออย่าเอาไปใส่ใจนะ เธอก็รู้ฉันแค่พูดเพื่อจะตอบโต้เว่ยอิ้งเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องที่เธอชอบเขามาทำเป็นเรื่องตลก”
ลู่จยาพยายามจะฉีกยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก “ลู่ลู่ ถ้าเธอให้ปากคำเสร็จแล้วก็รีบกลับไปเถอะ นี่ดึกมากแล้วแถมฝนตกอีกด้วย ข้างนอกนี่หนาวมากนะ”
พูดจบลู่จยาก็รีบเข้าไปในนั่งในแท็กซี่ เฉิงอี้เหิงอยู่ทางด้านนอกตัวรถมองหมิ่นลู่อีกพักใหญ่ ด้านหมิ่นลู่ได้แต่อ้าปากทว่าพูดอะไรไม่ออก
เฉิงอี้เหิงปลอบหมิ่นลู่ “ลู่จยาคงไม่โกรธคุณหรอก คุณกลับไปก่อนเถอะครับ อย่าตากฝน เดี๋ยวจะไม่สบาย เรื่องนี้ผมจะคุยกับเธอเอง”
หมิ่นลู่ที่ยืนตากฝนอยู่จึงพยักหน้ารับ เธอไม่รู้ว่าเว่ยอิ้งวิ่งตามออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้เขาถอดเสื้อนอกของตัวเองเอามาให้หมิ่นลู่กันฝน หมิ่นลู่หันกลับไปมองเขาด้วยดวงตาแดงๆ ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและปัดมือของเว่ยอิ้งที่ยื่นเข้ามาออกก่อนจะผลักเขาแล้ววิ่งไปท่ามกลางสายฝน
เว่ยอิ้งตะโกนเรียก แต่หมิ่นลู่ก็ไม่หันกลับมา ตำรวจหญิงที่เดินตามออกมาดูร้อนรน “นี่ยังให้ปากคำไม่เสร็จเลยนะ!”
สายฝนตกลงกระทบตัวรถไม่หยุด มองเห็นแสงไฟนีออนยามค่ำคืนได้เพียงรางๆ
เมื่ออยู่ในเมืองเมฆหมอกก็เหมือนกับได้ก้าวเข้ามาสู่โลกแห่งความฝัน ลู่จยาที่นั่งอยู่ตรงด้านเบาะหลังใช้มือเท้าคางมองไปที่นอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
เฉิงอี้เหิงมองใบหน้าด้านข้างของเธอ เส้นผมข้างหูของลู่จยาตกลงมาปรกใบหน้า เขาจึงยื่นมือออกไปทัดผมให้เธออย่างอดใจไว้ไม่อยู่
ลู่จยาหันกลับมามองเฉิงอี้เหิงแล้วถามขึ้น “ทำไมเหรอ”
เฉิงอี้เหิงส่ายหน้าปฏิเสธ “วันนี้คุณเหนื่อยแล้วล่ะสิ”
ลู่จยาส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก”
ในตอนนี้ทั้งคู่ยืนอยู่ในลิฟต์ของคอนโดฯ ลู่จยากำลังมองตัวเองผ่านกระจกในลิฟต์ ก่อนหน้านี้เธอแต่งตัวแต่งหน้าอย่างประณีตก่อนออกจากบ้าน ทว่าตอนนี้เครื่องสำอางพวกนั้นหลุดออกไปหมดแล้ว ริมฝีปากก็ซีดเผือด
เธอไม่อาจจะทนดูตัวเองต่อไปได้อีก เฉิงอี้เหิงสังเกตเห็นปฏิกิริยาของลู่จยาจึงลูบศีรษะของเธอเบาๆ “ไม่เป็นไร คุณยังดูดีอยู่”
แม้ว่าลู่จยาจะรู้ว่าเฉิงอี้เหิงต้องการปลอบโยนจึงพูดจาเอาอกเอาใจเธอ แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาได้
เมื่อกลับมาถึงห้องในคอนโดฯ สิ่งแรกที่เฉิงอี้เหิงทำคือเปิดน้ำร้อนใส่อ่างอาบน้ำเตรียมไว้ให้ลู่จยาได้อาบน้ำ
ลู่จยาที่เหนื่อยล้ากำลังนอนพักอยู่บนโซฟา เธอยกเท้าขึ้นสูง ถือโอกาสตอนที่เฉิงอี้เหิงเปิดน้ำร้อนให้เปิดโต้วปั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็เปิดกระทู้ของตัวเองเพื่อเข้าไปเขียนเรื่อง
‘อัพเดตวันนี้
เพิ่งกลับถึงบ้าน เหนื่อยจัง
วันนี้เกิดเรื่องนิดหน่อย เจ้าของกระทู้ไปกินข้าวกับเพื่อนๆ แต่มีเรื่องทะเลาะกับคนอื่นเข้าถึงขั้นต้องไปที่โรงพัก และเพื่อปกป้องฉันแล้ว แว่นของ ฉ. จึงถูกคนเหยียบหัก
นี่เป็นเรื่องทำให้เจ้าของกระทู้ประทับใจมาก แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกเสียใจเหมือนกัน ไม่ใช่ ฉ. ที่ทำให้เจ้าของกระทู้เสียใจนะ แต่หมายถึงเพื่อนๆ ของเจ้าของกระทู้ต่างหาก
เจ้าของกระทู้เห็นปากที่เขียวช้ำของ ฉ. แล้วรู้สึกทั้งเสียใจ ทั้งปวดใจ อีกเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จจะไปใส่ยาให้เขา ไม่รู้ว่าเขาจะยอมให้ช่วยไหม ไม่สิ ไม่รู้ว่าที่บ้านเขามียาหรือเปล่า แต่ว่าเขาเป็นคุณหมอเชียวนะ จะไม่มียาติดไว้ที่บ้านก็ดูแปลกไปหน่อยไหมนะ’