เช้าวันต่อมา เฉิงอี้เหิงซึ่งควรจะพักผ่อนอยู่กลับเดินมาเคาะประตูห้องของลู่จยาแล้วถามเธอว่านอนหลับสบายดีไหม ลู่จยานวดศีรษะของตัวเองที่กำลังปวด ดวงตาของเธอยังบวมเป่ง เธอรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว
เมื่อคืนลู่จยาเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ แต่พอหลับตาลง ใบหน้าของเว่ยอิ้งก็ปรากฏขึ้นในหัวจึงต้องพลิกตัวไปมาอยู่นานจนกลางดึกถึงหลับลง
ลู่จยารู้สึกสับสน เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเว่ยอิ้งถึงทำกับเธออย่างนั้น
พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ฝึกซ้อมมาด้วยกัน แข่งขันมาด้วยกัน เธอรู้สึกว่าเว่ยอิ้งเป็นเหมือนแสงสว่างในชีวิต ทั้งยังเคยรักและทุ่มเทอย่างจริงใจให้กับเว่ยอิ้งเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะรู้ว่าเขาชอบเพื่อนรักของเธอแต่เธอก็ยังแอบรักเขาข้างเดียวอย่างโง่ๆ มาตลอด
จนกระทั่งก่อนเกิดอุบัติเหตุ…อ้อ ไม่สิ จนกระทั่งก่อนเกิดเรื่องในร้านอาหารญี่ปุ่นนั่นต่างหาก เธอก็ยังคงมีใจให้กับเว่ยอิ้ง
หากเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดบนร่างกายแล้ว ใจเธอนั้นเจ็บยิ่งกว่าเสียอีก
เรื่องทั้งหมดนี่ทำให้เธอคิดถึงเพลง ‘ความอัดอั้นอันไร้เดียงสา’ ของหลินโย่วจยาซึ่งมีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งร้องว่า ‘มีดวงดาวที่ฉันเงยหน้ามองอยู่ดวงหนึ่ง ค่อยๆ ตกลงมา’ ทว่าดาวที่ตกลงมาของเธอนั้นไม่ใช่ดวงดาว แต่เป็นดวงอาทิตย์
เธอชอบเว่ยอิ้งมาตั้งหลายปี แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เสียใจและหมดหวังเท่าตอนนี้
ทำไมเขาถึงได้เลือกที่จะจูงมือหมิ่นลู่ หรือเพราะในสายตาของเขาไม่เคยมีเธออยู่เลย แล้วหมิ่นลู่ล่ะ…ทำไมถึงได้วิ่งไปกับเว่ยอิ้ง
ถึงแม้ลู่จยาจะเข้าใจว่าในสถานการณ์คับขันนั้น การหนีเอาชีวิตรอดเป็นสัญชาตญาณหนึ่งของมนุษย์ แต่ทุกครั้งที่เธอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก็อดรู้สึกจุกในลำคอไม่ได้ ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มตำอยู่ในหัวใจ ในเวลานั้นคุณหมอที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานกลับออกมาปกป้องเธอ แต่เพื่อนรักสองคนที่เติบโตมาด้วยกันกลับทิ้งเธอไว้ข้างหลัง
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเศร้า
“ผมพาคุณไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลหน่อยดีกว่า ได้ถือโอกาสพักผ่อนไปด้วย” น้ำเสียงอันอบอุ่นของเฉิงอี้เหิงดึงเธอออกมาจากความเศร้า
ลู่จยาคิดว่าเฉิงอี้เหิงคงจะพาเธอไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเท่านั้นจึงยอมออกจากบ้าน แต่ครั้งนี้เธอแต่งตัวอย่างมิดชิดกว่าเดิม ทั้งสวมหน้ากากอนามัย ทั้งใส่หมวก
หลังจากจอดรถในลานจอดรถของโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วทั้งสองคนก็ขึ้นลิฟต์ ลู่จยาใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเดินไปจนถึงโถงกลางแล้วบังเอิญมาเจอเข้ากับหมิ่นลู่และเว่ยอิ้ง เธอทำอะไรไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทั้งคู่ ความรู้สึกกระอักกระอ่วนหลังจากทะเลาะกันเมื่อคืนยังไม่ได้หายไป การที่พวกเขามาปรากฏตัวต่อหน้าทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ออก
“ลู่จยา” หมิ่นลู่ก้าวเข้ามาหาเธอ เว่ยอิ้งตามหลังหมิ่นลู่มาติดๆ หมิ่นลู่ถลึงตามองเว่ยอิ้งอย่างหงุดหงิด “นายเลิกตามฉันสักทีจะได้ไหม!”
เว่ยอิ้งอ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก เขายอมหยุดอย่างว่าง่าย ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งก็เดินตามอีก
หมิ่นลู่ทำเหมือนเว่ยอิ้งไม่มีตัวตน เธอเดินตรงมาหาลู่จยา ขณะที่เตรียมจะเอ่ยปากขอโทษก็ถูกขัดด้วยคำพูดของเว่ยอิ้งเสียก่อน
“ลู่จยา พวกเรามาขอโทษ เรื่องเมื่อคืนเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ฉันไม่ควรจะพูดกับหมิ่นลู่อย่างนั้นเลย พอฉันได้ยินคำประชดก็เลยรับไม่ได้ถึงพูดกับเธอแบบนั้นไป ยกโทษให้ฉันกับหมิ่นลู่นะ จริงๆ เธอจะไม่ให้อภัยฉันก็ได้ แต่อย่างน้อยยกโทษให้หมิ่นลู่เถอะ พวกเธอเป็นเพื่อนรักกันจะมาแตกหักเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ไม่ได้”
คำพูดของเว่ยอิ้งฟังดูแล้วไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่ เหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจว่าลู่จยาจะให้อภัยหรือเปล่า เขาก็แค่อยากจะพูดแทนหมิ่นลู่เท่านั้น
รอยยิ้มของลู่จยาหายวับไปทันที เธอขยับไม้ค้ำพาตัวเองเข้าไปใกล้กับเฉิงอี้เหิงอีกหน่อย เฉิงอี้เหิงที่สัมผัสได้ว่าเธอรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงโอบไหล่ของลู่จยาไว้
“เว่ยอิ้ง นายหยุดทำให้เรื่องมันเลวร้ายขึ้นไปอีกได้ไหม” หมิ่นลู่ได้ยินคำพูดของเว่ยอิ้งแล้วโมโหจนอยากจะซัดไปสักที
หมิ่นลู่ผลักเว่ยอิ้งออกแล้วรีบเข้ามากุมมือลู่จยาไว้แน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “จยาจยา เมื่อวานฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดเรื่องนั้นจริงๆ นะ ตอนนั้นฉันโมโหเว่ยอิ้งจนขาดสติ พอใจเย็นลงแล้วถึงได้รู้ว่าทำผิด ฉันขอโทษ เธอจะลงโทษฉันยังไงก็ได้ เอาอย่างนี้ ให้ฉันพาเธอไปเที่ยวยุโรปไหม หรือจะไปญี่ปุ่นก็ได้นะ ฉันจำได้ว่าเธอชอบการ์ตูนนี่ พวกเราไปดูหิมะที่เมืองโอะตะรุกัน หรือจะไปดูกวางที่เมืองนาราก็ได้ ที่ไหนก็ได้ที่เธอชอบ ทั่วทั้งโลกนี้ฉันไปกับเธอได้หมดเลย ถือว่าไปพักผ่อนกันนะ”