หมิ่นลู่ยังวาดภาพอนาคตอันแสนสวยงามกับลู่จยาไม่หยุด ลู่จยาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยขัดหมิ่นลู่ขึ้น “หมิ่นลู่ ทำไมถึงคิดว่าเธอหาทางลงให้ฉันได้ แล้วฉันจะต้องทำตามด้วย”
เมื่อเธอพูดประโยคนี้ออกไปบรรยากาศโดยรอบก็นิ่งสนิท
ไม่มีใครคาดคิดว่าลู่จยาจะพูดแบบนี้ ไม่สิ อันที่จริงแล้วไม่มีใครคิดเลยว่าลู่จยาจะพูดกับหมิ่นลู่แบบนี้ ลู่จยากับหมิ่นลู่ตัวติดกันเป็นฝาแฝด ในสายตาของคนทั่วไปแล้วพวกเธอไม่ใช่คนที่จะคบด้วยง่ายๆ ทั้งคู่มักจะอยู่ด้วยกันตลอด ทุกคนรวมทั้งหมิ่นลู่ยังรู้สึกว่าลู่จยาไม่น่าจะโกรธจริงๆ อย่างมากคงเป็นแค่การผิดใจกันเล็กๆ น้อยๆ สักสามวันก็คืนดีกันแล้ว
ทว่าลู่จยาตอกกลับหมิ่นลู่แรงมากจนหมิ่นลู่ได้แต่อึ้งไป ไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร
เว่ยอิ้งเดินมาหยุดตรงหน้าลู่จยาแล้วใช้น้ำเสียงราวกับเป็นผู้ใหญ่ตำหนิเด็กพูดขึ้น “ลู่จยาทำไมถึงพูดแบบนี้!”
ลู่จยาเงยหน้าขึ้นมอง “ฉันพูดจายังไง พวกเธอสองคนไม่เห็นเหรอว่าฉันยังต้องใช้ไม้ค้ำอยู่ สถานการณ์แบบนั้นพวกเธอกลับทิ้งฉันไว้แล้วหนีไปด้วยกันเนี่ยนะ อีกอย่างเรื่องเลี้ยงข้าวนี่เป็นความคิดนายไม่ใช่เหรอเว่ยอิ้ง นายยังมีหน้าทิ้งแขกไว้ในสถานการณ์อันตรายอีก นี่เป็นมารยาทในการดูแลแขกของนายเหรอ”
ลู่จยาพูดรวดเดียวจบ ทิ้งให้เว่ยอิ้งตะลึงอ้าปากค้างอยู่กับหมิ่นลู่ที่มองมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ลู่จยาคล้องแขนเฉิงอี้เหิงแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เราต้องเข้าไปตรวจร่างกายแล้วใช่ไหม”
“คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะทำแบบนี้” เฉิงอี้เหิงถามเธอด้วยความลังเล
ลู่จยาพยักหน้า แม้ว่าตอนนี้เธอจะแสบจมูกมากก็ตาม
ลู่จยาเดินไปหลายก้าวแล้ว อยู่ๆ หมิ่นลู่ก็ตะโกนเรียกออกมาด้วยเสียงขึ้นจมูก
“ลู่จยา! เธอทำขนาดนี้เพราะเว่ยอิ้งงั้นเหรอ?!”
ลู่จยาหันกลับไป “ไม่ใช่เพราะเว่ยอิ้งหรอก หมิ่นลู่ ฉันคิดว่าเราต้องการเวลามากกว่านี้ ที่ผ่านมาเธอคงชินกับการทำตัวเป็นผู้เสียสละ ส่วนฉันก็ได้แต่เงยหน้ารอรับความหวังดีจากเธอ เธออาจจะไม่รู้ตัว แต่รู้ไหมเธอดูภาคภูมิใจกับบทบาทนี้นักหนาทำเหมือนว่าตัวเองเข้มแข็งกว่าฉัน เรื่องเว่ยอิ้งนั่นเป็นตัวอย่างที่ดี ฉันรู้ว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน แต่ถ้าให้ฉันเงยหน้ารอตลอดเวลาคงปวดคอแย่ ให้ฉันพักเถอะ พวกเราต้องการเวลาคิดมากกว่านี้ รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนแล้วกัน ฉันคิดได้เมื่อไหร่จะติดต่อไปหาเธอเอง”
“แล้วถ้าเธอคิดไม่ได้ล่ะ” หมิ่นลู่ถาม
ลู่จยาไม่ตอบอะไรอีก เธอคล้องของแขนเฉิงอี้เหิงเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในแผนกตรวจร่างกาย
หมิ่นลู่หันกลับแล้วเดินจากไปอย่างผิดหวัง เว่ยอิ้งอยากจะแก้ตัวแทนหมิ่นลู่จึงวิ่งมาข้างๆ ลู่จยา เขาตั้งใจจะยื่นมือมารั้งลู่จยาเอาไว้ แต่กลับโดนเฉิงอี้เหิงขัดขวาง
เฉิงอี้เหิงจับข้อมือของเว่ยอิ้งเอาไว้ ถามอย่างไม่วางใจ “คุณจะทำอะไร”
เว่ยอิ้งมองเฉิงอี้เหิงอย่างรำคาญ “ผมจะคุยกับลู่จยา เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
“ขอโทษด้วยนะครับคุณเว่ยอิ้ง แต่เรื่องของลู่จยาเป็นเรื่องที่ผมต้องเกี่ยวข้องด้วย”
เว่ยอิ้งถูกตอกกลับแบบนั้นก็หาคำโต้แย้งไม่ได้ เขาจึงหันไปพูดกับลู่จยาอย่างรวดเร็วแทน “ลู่จยา ฉันรู้ว่าเธอกำลังโมโห แต่อย่าโมโหนานนักนะ เธอก็รู้นิสัยของหมิ่นลู่ดี แล้วนี่อีกไม่กี่วันเขาจะบินไปยุโรปแล้ว พวกเธออย่าโกรธกันข้ามวันเลยน่า”
ในที่สุดลู่จยาก็ทนไม่ไหว ตั้งแต่เจอกันเว่ยอิ้งเอาพูดถึงแต่หมิ่นลู่เหมือนไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าเพราะตัวเองนั่นแหละที่ทำให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต
“นายรู้ตัวไหมว่าตอนนี้ท่าทางของนายมันน่ารังเกียจขนาดไหน ฉันรู้ว่านายชอบหมิ่นลู่ แต่ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ นี่ดูไม่เหมือนนายเลยนะ ถ้าแฟนคลับของนายรู้เข้ายังจะชื่นชมนายได้อีกเหรอ”
เว่ยอิ้งหน้าแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พูดจบลู่จยาก็ดึงมือเฉิงอี้เหิงเดินขึ้นไปตรวจร่างกายที่ชั้นบน