ทั้งคู่ได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และมีการบันทึกบาดแผลที่ปรากฏบนร่างกายของพวกเขาเอาไว้ด้วย เฉิงอี้เหิงนำเอกสารที่ทำไว้เมื่อคืนมารวมกับผลการตรวจร่างกายในวันนี้ใส่ลงไปในซองเอกสารก่อนจะติดต่อทนายของเขา
ขณะรอทนายมารับเอกสาร เฉิงอี้เหิงก็นึกถึงขาของลู่จยาที่ยังเดินไม่ถนัดขึ้นมา เขาจึงพาเธอไปดูศูนย์กายภาพบำบัด
ที่ศูนย์กายภาพบำบัดมีวัยรุ่นชายอายุประมาณสิบเก้าปีนั่งอยู่ ข้างๆ มีไม้ค้ำอีกคู่หนึ่ง มือทั้งสองข้างของวัยรุ่นคนนี้กำลังจับราวประคองเอาไว้ เขาพยายามจะก้าวเดินทีละก้าวอย่างยากลำบากโดยมีพยาบาลคอยให้คำแนะนำด้วยความอดทน เขาเหมือนเด็กที่กำลังหัดเดิน แต่ดูลำบากกว่าเด็กน้อยหัดเดินหลายเท่า การก้าวขาออกมาแต่ละครั้งดูยากมาก เส้นเอ็นตรงลำคอของวัยรุ่นชายคนนี้ปูดขึ้น เหงื่อผุดบนหน้าผากเป็นเม็ดๆ มือทั้งสองข้างที่จับราวก็สั่นไม่หยุด
แต่พยาบาลยังคอยให้กำลังใจเขาตลอดเวลา
ตอนที่วัยรุ่นชายคนนี้กำลังจะก้าวออกมาได้สำเร็จเป็นก้าวแรก ลู่จยาที่ดูข้างๆ ก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย เธอขบฟันแน่นอย่างไม่รู้ตัว
“อ๊า…” ชายหนุ่มร้องออกมาขณะล้มลงไปบนเบาะรองนุ่มๆ ที่อยู่ด้านล่าง เขายังไม่สามารถก้าวออกไปต่อได้
ชายวัยรุ่นรู้สึกหมดหวังจนนอนซุกตัวอยู่บนเบาะ ทั้งยังหงุดหงิดจนชกไปที่เบาะรองหลายครั้ง พยาบาลที่เข้าไปพยุงเขาขึ้นมาก็ถูกผลักออกไป เขายกมือขึ้นปิดหน้าไม่ยอมลุกขึ้นจากเบาะ ดูจากท่าทางแล้วเหมือนอารมณ์กำลังจะระเบิด
ลู่จยาสะเทือนใจกับภาพที่เห็นจึงได้แต่ถอนใจอยู่เงียบๆ ทีแรกเธอคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ
คนเราถ้าป่วยหรือบาดเจ็บขึ้นมายังไงก็ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
ร่างกายมนุษย์นั้นไม่ต่างไปจากเครื่องจักร ไม่ว่าจะเป็นรอยขีดข่วน หรือต่อให้ถูกซ่อมแซมแล้วก็ยังทิ้งรอยแผลหลงเหลือไว้ให้เห็น เมื่อลู่จยาตระหนักได้ถึงประเด็นนี้เธอยิ่งรู้สึกหดหู่
ลู่จยาหันหน้าหนี เธอไม่อยากจะมองดูอีกต่อไป
“พวกเรากลับกันเถอะ”
เฉิงอี้เหิงจับไหล่ของลู่จยาไว้ “ไม่ดูต่ออีกหน่อยเหรอ”
ตอนที่ลู่จยาจับไม้ค้ำไว้แล้วหันหลังกลับไป เธอเห็นชายวัยรุ่นที่หมดหวังนอนหมอบอยู่บนเบาะเมื่อครู่พยายามจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขาทำท่าเดิมซ้ำๆ ถึงแม้จะต้องใช้แรงอย่างมากก็ตาม บนใบหน้าของเขายังมีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่แต่ดูมุ่งมั่นมากกว่าก่อนหน้านี้
เห็นแล้วลู่จยาก็รู้สึกสนใจขึ้นมา แต่เฉิงอี้เหิงกลับไม่ให้เธอดูต่อแล้ว เขาพยุงเธอออกจากศูนย์กายภาพบำบัด
“ทำไมไม่ให้ฉันดูต่อล่ะ ฉันอยากจะรู้ว่าเขาจะกล้าก้าวขาไหม”
“ผลลัพธ์ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด คุณต้องเห็นว่าต่อให้เด็กหนุ่มคนนั้นจะล้มและร้องไห้ แต่เขายังพยายามที่จะลุกขึ้นมาต่างหาก เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ก็มีลมเย็นพัดผ่านมา วันนี้เฉิงอี้เหิงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนเสื้อขึ้นกับกางเกงลำลองและใส่แว่นตา เขาแผ่ความอบอุ่นออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“คุณหมอเฉิง” ลู่จยามองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างร้อนรน
“มีอะไรหรือเปล่า” เฉิงอี้เหิงหันมามองเธอ
“ฉันรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่มองคุณ”
“แปลกยังไง”
“เหมือนหัวใจของฉันเป็นฟองน้ำที่ถูกแช่อยู่ในน้ำ ค่อยๆ ดูดซับน้ำนั้นจนเต็ม”
เฉิงอี้เหิงยิ้มออกมา เขายกมือขึ้นลูบผมเธอ “เราไปกันเถอะ ทนายของผมมาถึงแล้ว”
ทั้งคู่เดินมาพบทนายของเฉิงอี้เหิงตรงลานจอดรถชั้นใต้ดินของโรงพยาบาล หลังจากเฉิงอี้เหิงยื่นเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เตรียมไว้ให้กับทนายแล้ว เขาก็เปิดดูคร่าวๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“คุณเฉิงสบายใจได้ เคสแบบนี้ผมจัดการมาหลายครั้งแล้ว รับรองว่าคุณจะได้คำตอบที่น่าพอใจ”
“รบกวนด้วยนะครับ”