สั่งการกับทนายเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาอาหาร เฉิงอี้เหิงถามลู่จยาว่าเธออยากกินอะไร แต่ลู่จยายังรู้สึกหวาดกลัวการกินอาหารที่ร้านอาหารข้างนอกจึงเสนอให้ไปซื้อของที่ตลาดแล้วกลับไปทำอะไรกินที่บ้านกัน
“คุณทำกับข้าวเป็นเหรอ” เฉิงอี้เหิงถาม
ลู่จยาส่ายหน้า
“งั้นก็ต้องเป็นผมล่ะสิ” เฉิงอี้เหิงพับแขนเสื้อสูงขึ้นไปอีกนิด เขาค้นหาซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้คอนโดฯ “ว่ามาเลย คุณอยากกินอะไร อาหารฝรั่งหรืออาหารจีน”
ลู่จยานั่งตรงเบาะข้างคนขับ รัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยจึงหันมาถาม “นี่คุณทำเป็นทุกอย่างเลยเหรอ”
เฉิงอี้เหิงมีท่าทางสบายๆ ถึงบนใบหน้าของเขาจะยังมีร่องรอยฟกช้ำเหลืออยู่ แต่มันไม่ได้ส่งผลกับความหล่อของเขาแม้แต่น้อย
มือข้างหนึ่งของลู่จยายื่นออกไปนอกหน้าต่างรถ สัมผัสกับความเร็วและอุณหภูมิของสายลม เธอรู้สึกว่าไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะดีเท่าตอนนี้อีกแล้ว
เมื่อถึงซูเปอร์มาร์เก็ต เฉิงอี้เหิงก็เลือกรถเข็นคันใหญ่ เขาเข็นมันมาหยุดตรงหน้าลู่จยาแล้วบุ้ยปากใส่เธอ “ขึ้นมาสิ”
ลู่จยาที่ยังต้องพยุงตัวด้วยไม้ค้ำและยืนด้วยขาข้างเดียวหันมองไปรอบๆ ด้วยความเขินอาย เธอเอ่ยขึ้นด้วยความไม่มั่นใจ “ทำแบบนี้ไม่ดีมั้ง”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าคุณทำมันพังเดี๋ยวผมจะใช้คืนพวกเขาสองคันเลย ถ้าคุณใช้ไม้ค้ำเดินซื้อของกับผมทั่วซูเปอร์มาร์เก็ตคงไม่สะดวก”
“งั้น…ก็ได้”
หลังจากเจรจากับพนักงานของซูเปอร์มาร์เก็ตและได้รับอนุญาตเรียบร้อย ลู่จยาก็ขึ้นไปนั่งในรถเข็นที่เฉิงอี้เหิงเลือกมา
ซึ่งต่อมาเธอได้ไปอัพเดตกระทู้ถึงเรื่องนี้ทำเอาคนที่ติดตามกระทู้อยู่พากันหัวเราะขบขัน
‘พูดจริงๆ นะเจ้าของกระทู้ ตอนนี้ฉันเห็นคำว่า ‘รถ’ ก็ต้องมาคิดดูว่าเป็นรถแบบไหน สามารถขึ้นได้หรือขึ้นไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ’
‘ขึ้นรถของ ฉ. นี่ดีไหม’
‘จริงด้วย เจ้าของกระทู้ทำให้ฉันอยากรู้จริงๆ นานแล้วนะยังไม่รู้เลยว่าพวกคุณขึ้นรถหรือเปล่า พวกเราเป็นกำลังใจให้คุณขับรถมารับพวกเราอยู่นะ!’
‘เรื่องของเจ้าของกระทู้น่าเอ็นดูกว่าเรื่องรักวัยในวัยเรียนของคุณยายคิมิโกะ นิชิโมโต้ ที่ชื่อเรื่อง ‘คิดถึงคุณจะแย่’ หรืออีกชื่อคือ ‘อยากจะบอกคุณเหลือเกิน’ อีกนะ’
ที่จริงตอนที่จะขึ้นรถเข็น ลู่จยาก็รู้สึกว่ามันขลุกขลักนิดหน่อยเพราะเธอใช้แรงขาได้แค่ข้างเดียว และการปีนขึ้นไปบนรถเข็นไม่ได้ง่ายๆ เหมือนปีนขึ้นเตียง มันยากมาก พอเธอปล่อยไม้ค้ำยันแล้วก็ทำได้แค่ยืนจ้องรถเข็นอย่างกลัดกลุ้ม
“เป็นอะไรไป ในรถเข็นมีดอกไม้หรือไง” เฉิงอี้เหิงถาม
ลู่จยาส่ายหน้า เธอใช้มือลูบปลายคางตัวเอง “ฉันกำลังคิดว่าจะปีนเข้าไปยังไง”
“ง่ายจะตาย ผมอุ้มคุณเข้าไปยังไงล่ะ…” เฉิงอี้เหิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ แต่ลู่จยาตกใจแทบตาย
พูดว่าอุ้มก็อุ้ม มันไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้นนะ!
แม้ว่าพวกเราจะเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ก็ยังเป็นคนโสด ถ้าสถานะยังไม่ได้ชัดเจนจะมาอุ้มมากอดกันในสถานที่สาธารณะคงไม่ดีเท่าไหร่มั้ง
ถึงเธอกับเฉิงอี้เหิงจะกอดกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็เถอะ แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าต้องถือสาเรื่องนี้ขึ้นมา ลู่จยาบ่นในใจอย่างงอนๆ เราไม่ใช่แฟนกันสักหน่อย ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดจะให้คุณมาอุ้มฉันง่ายๆ นะ