“นางคือสะใภ้สาม ชื่อพานหมิ่น ได้ชื่อว่าเป็นหญิงปากร้ายในจวนแห่งนี้ สะใภ้สี่จะพูดจากับนางต้องระวังสักหน่อย”
เดิมเข้าใจว่าเป็นอนุเสียอีก ที่แท้ถึงกับเป็นสะใภ้คนหนึ่ง!
ฟังคำแนะนำจากฝูหรงแล้ว เลี่ยวจิ้งชูนึกสงสัยอยู่ในใจ ระหว่างสะใภ้ด้วยกัน อย่างมากก็ทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องทรัพย์สินสิ่งของ นางไปเอาความเกลียดชังมากมายมาจากที่ใด ราวกับข้าไปแย่งชิงบุรุษของนางมาเช่นนั้น
ในใจฉงนสงสัย ทว่ากลับไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า เลี่ยวจิ้งชูมองไปทางคนอื่นๆ ต่อ หญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ใกล้กับพวกนางซึ่งมีเพียงสายรัดเอวกับผ้าโพกศีรษะดูแตกต่างจากพวกสะใภ้ กับหัวผักกาดน้อยอายุห้าหกขวบที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอีกสามคน แต่กลับสวมชุดไว้ทุกข์หนัก
ไม่ต้องบอก…หัวผักกาดน้อยสามคนนั้นจะต้องเป็นคุณชายห้า คุณชายหก คุณชายเจ็ด เช่นนั้น…หญิงสาวสองคนนี้ก็คงเป็นน้องสามีแล้ว
“คุณหนูสามกับคุณหนูสี่” ฝูหรงเอ่ยขึ้นมาอย่างเหมาะกับเวลา “แจ้งข่าวให้คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองทราบแล้ว สองวันนี้คงกลับมาถึงจวนเจ้าค่ะ” พูดพลางฝูหรงก็ประคองนางให้คุกเข่าลง “สะใภ้สี่นำร้องไห้ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ร้องไห้?!
เลี่ยวจิ้งชูชะงักอึ้ง นางลืมไปแล้วว่ามาที่ห้องโถงตั้งศพก็เพื่อร้องไห้
ไม่ใช่ก๊อกน้ำสักหน่อย จะบอกให้น้ำตาไหลก็ไหลออกมาเลยได้อย่างไร เลี่ยวจิ้งชูคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ดวงตากะพริบปริบๆ แต่กลับเค้นน้ำตาไม่ออกสักหยด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเหมือนเสียงร้องไห้อันยอดเยี่ยมของหญิงรับใช้สูงวัยเหล่านั้นที่ส่งเสียงสูงต่ำเปลี่ยนท่วงทำนอง เดี๋ยวขาดห้วงเดี๋ยวต่อเนื่องเป็นระยะ
สายตาที่พุ่งมารวมอยู่บนใบหน้าของเลี่ยวจิ้งชูเริ่มเปลี่ยนเป็นร้อนเหมือนไฟ นางได้ยินกระทั่งเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากในหมู่คน ใจก็เต้นตึกตักขึ้นมา
ขณะทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น ก็ได้ยินคนร้องตะโกนขึ้นมาในห้องโถง
“พระราชโองการมาถึง!”
เสียงตะโกนดังกังวาน แม้แต่ภิกษุที่สวดมนต์ยังต้องหยุด ห้องโถงที่กว้างใหญ่มีคนหลายร้อยคนเงียบกริบลงราวกับเข้าไปอยู่ในจอภาพยนตร์ไร้เสียง รวมถึงคนที่ร้องตะโกนเมื่อครู่ก็คุกเข่าลงไปอย่างนอบน้อม
เลี่ยวจิ้งชูลอบมองไปที่หน้าประตู เพียงเห็นเด็กรับใช้สวมเสื้อผ้าด้ายดิบเดินเร็วๆ เข้าประตูมาสองแถว จากนั้นก็ดึงผ้าแพรที่ล้อมอยู่ตามทางเดินออกอย่างรวดเร็ว ที่ตามพวกเขาเข้ามาติดๆ คือขันทีน้อยซึ่งเดินเรียงแถวหน้ากระดานเข้ามาสองแถวแล้วแยกออกไปยืนสองข้างทางเดิน สองมือห้อยอยู่ข้างตัว ตามองตรง
เด็กรับใช้ที่ดึงผ้าแพรเหล่านั้นเดินตรงไปข้างหน้าไม่หยุด เหลือเพียงม่านบางที่กั้นส่วนสมาชิกครอบครัวไว้จึงนับว่าเสร็จสิ้น พากันล่าถอยไปนั่งคุกเข่าที่ด้านหลัง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นระลอกหนึ่ง ขันทีสวมเสื้อคลุมสองคนประคองพระราชโองการสองม้วนอย่างนอบน้อม ยืดอกเชิดหน้าเดินเข้ามา ข้างหลังมีบุรุษวัยกลางคนท่วงทีองอาจห้าวหาญคนหนึ่งกับชายหนุ่มรูปงามท่าทางสะโอดสะองคนหนึ่งเดินตามติดเข้ามา ต่างอยู่ในชุดขาว สูงค่าแต่ไม่หรูหรา ศีรษะไม่ได้สวมรัดเกล้า เอวผูกสายรัดผ้าด้ายดิบ
พวกเขาคือใคร