“คุณชายสี่ ข้าเคยได้ยินว่าคนตอนตายช่วงแรกๆ ดวงวิญญาณจะเฝ้าอยู่ข้างกายคนใกล้ชิด ต้องเจ็ดวันแล้วจึงจะออกจากบ้านไปยมโลก ข้าทราบท่านจะต้องอยู่ที่นี่ เพียงแต่ข้ามองไม่เห็นท่าน”
คำพูดไม่กี่ประโยคทำเอาทุกคนขนลุกชันไปทั้งร่าง แผ่นหลังเย็นวูบ แล้วจึงนึกได้ว่าในเรือนหลังที่สี่ไม่ได้มีสะใภ้สี่เพียงคนเดียว ยังมีคุณชายสี่ที่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นอีกคน
โถงด้านในเงียบกริบขึ้นมาทันที ได้ยินเพียงเสียงเปลวไฟลุกอยู่ในกระถางดินเผากับเสียงพร่ำรำพันเบาๆ ของเลี่ยวจิ้งชูที่ทำให้คนขนพองสยองเกล้า
“คุณชายสี่ช่างใจร้าย ในเมื่อไม่อาจอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ไม่อาจปกป้องข้า ไยต้องแต่งข้าเข้ามาด้วย เวลานี้ท่านละจากโลกมนุษย์ ทิ้งข้าให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไร้ที่พึ่งพา ถูกคนข่มเหงรังแก” นางเติมเงินกระดาษลงไปอีกปึก “เดิมข้าคิดจะตามท่านไป แต่ก็จนใจสวรรค์ไม่ยอมรับ คิดว่าคงเป็นเพราะท่านเห็นว่าในโลกนี้ยังมีบิดามารดาอยู่ ความปรารถนาภายในใจยังไม่ลุล่วง จึงไม่ยอมให้ข้าติดตามท่านไป ข้าจะเชื่อฟังท่าน ยินดีทนทุกข์ทรมานต่อการพลัดพรากแยกจาก รั้งอยู่ในโลกปรนนิบัติบิดามารดาแทนท่าน ทำหน้าที่แทนท่านให้ครบถ้วน เพียงแต่…ร่างของท่านยังไม่ทันเย็น ข้าก็ถูกคนสบประมาทเหยียดหยาม ถูกคนว่าเป็นดาวหายนะ กระทั่งความบริสุทธิ์ก็ถูกซักถามตั้งข้อสงสัย”
พูดมาถึงตรงนี้ สายตาของนางก็กวาดผ่านใบหน้าทุกคนไปช้าๆ ทีละคน ฉับพลันนั้นในดวงตาที่เยียบเย็นอึมครึมก็มีความน่าสะพรึงกลัวอย่างบอกไม่ถูกอยู่ขุมหนึ่ง มองจนผู้คนหน้าซีดเผือด ฟันสั่นกระทบกัน แต่ละคนต่างลนลานก้มหน้า ไหนเลยจะกล้าสบตากับนาง
เลี่ยวจิ้งชูหยักยกมุมปาก มีรอยยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็นผุดขึ้นมาจางๆ
“ไม่เป็นไรหากทำให้ความบริสุทธิ์ของข้าด่างพร้อย แต่ทำให้ท่านไม่อาจจากไปอย่างสงบสุข ชื่อเสียงมัวหมองย่อมเป็นความผิดของข้า ข้ารู้ท่านอยู่ที่นี่ และได้ยินคำพูดของข้า ถ้าคุณชายสี่ปวดใจและเวทนาสงสารข้าที่ต้องอยู่บนโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยวและลำบากยากแค้นตามลำพังจริง เห็นว่าข้าไม่ใช่ดาวหายนะ ยอมรับในความบริสุทธิ์ของข้า ก็ขอให้ท่านออกมาพูดจาให้ความเป็นธรรมต่อหน้าน้องสามีและพี่สะใภ้ทั้งหลายสักคำเถิด!”
เสียงใสเย็นเอ่ยออกมา ในความเศร้ารันทดเจือด้วยความน่าขนพองสยองเกล้า เสียงลมหนาวครางครวญพัดกระแทกช่องหน้าต่าง บรรยากาศอึมครึมน่าสะพรึงกลัว ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน ทุกคนมองไปที่ต่งอ้ายด้วยสัญชาตญาณ
ยังดี เขายังนอนสงบเสงี่ยมไม่ได้ขยับอยู่ที่นั่น เพียงแต่ตะเกียงฉางหมิงที่ปลายเท้าสั่นไหววูบวาบ เปล่งแสงสีน้ำเงินริบหรี่
“ขาวก็คือขาว ดำก็คือดำ จะแสร้งทำเป็นผีอะไร”
พอเห็นไม่มีอะไร พานหมิ่นก็ทำใจกล้าพูดออกมา ทำลายความหวาดหวั่นพรั่นพรึงทั้งห้องโถงด้านใน บรรยากาศที่อึมครึมน่าสะพรึงกลัวดูสดใสขึ้นมาหลายส่วน ทุกคนต่างถอนหายใจยาว คนที่ใจกล้าหน่อยกำลังจะเออออตาม ทันใดนั้นเอง ประหนึ่งจะเป็นจริงดังคำที่พูดไว้ จู่ๆ ตรงข้างกระถางดินเผาที่ร้อนผะผ่าวก็เกิดลมพัดหมุนขึ้น พัดจากโต๊ะวางของเซ่นไหว้ไปข้างหน้า พัดจนเงินกระดาษปลิวว่อนไปทั่ว ผ้าม่านขาวส่งเสียงพึ่บพั่บ ตะเกียงฉางหมิงที่ปลายเท้าต่งอ้ายยิ่งสั่นไหว เปลวไฟสีน้ำเงินริบหรี่พุ่งขึ้นสูง ส่งเสียงฟู่ๆ ราวกับงูพิษกำลังพ่นพิษ
เพราะลืมหาอะไรทับเงินกระดาษไว้ ทุกคนต่างเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนกตกใจ มองลมที่กำลังพัดหมุน พัดไปทางด้านหลังโต๊ะวางของเซ่นไหว้ พัดเลิกผ้าห่มสีแดงตรงศีรษะต่งอ้ายออกราวกับมีความรู้สึก เผยใบหน้าเขียวคล้ำน่าเกลียดน่ากลัวออกมาให้เห็น
“มารดาเถอะ! คุณชายสี่สำแดงฤทธิ์แล้ว”
“คุณชายสี่โปรดไว้ชีวิต”
“พี่ชายไว้ชีวิตด้วย น้องสาวไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินท่าน น้องสาวเชื่อแล้วว่าพี่สะใภ้สี่บริสุทธิ์ ต่อไปไม่กล้าพูดจาเหลวไหลแล้ว”
ไม่รู้ใครเป็นคนกรีดร้องออกมาคำแรก บริเวณด้านหน้าที่ตั้งศพพลันโกลาหลอลหม่านราวกับหม้อระเบิด ทุกคนคิดจะหนีไปตามสัญชาตญาณ กลับพบว่าสองขาราวถูกถ่วงด้วยตะกั่ว ถึงกับขยับไม่ได้แม้ครึ่งก้าว คุกเข่าอยู่ตรงนั้นเหมือนเป็นดินเลนไปแล้ว พากันโขกศีรษะราวกับถูกผีบงการ พูดจาแทบไม่เป็นภาษาวิงวอนให้ต่งอ้ายอภัย สาบานว่าต่อไปไม่กล้าซักถามตั้งข้อสงสัยเรื่องความบริสุทธิ์ของสะใภ้สี่อีกแล้ว
หลิ่วเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังเลี่ยวจิ้งชูมาโดยตลอดถึงกับเนื้อตัวอ่อนระทวยเป็นลมหมดสติไป มีหญิงสูงวัยใจกล้าผู้หนึ่งโอบร่างไว้ ร้องเรียกเสียงดังขึ้นมา