ไม่แปลกที่คนเหล่านี้จะหวาดกลัว คนในสมัยโบราณเชื่อเรื่องงมงาย ลมหมุนที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันนี้เพียงพอที่จะทำให้คนขนพองสยองเกล้าแล้ว กอปรกับตอนต่งอ้ายสิ้นลม ทุกคนต่างก็เห็นใบหน้าที่เดิมขาวซีด มาบัดนี้จู่ๆ เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ย่อมเป็นการบันดาลโทสะแน่นอน หมายออกหน้าแทนสะใภ้สี่ ทุกคนมีหรือจะไม่กลัว
ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน ยังคงเป็นสะใภ้ใหญ่ที่สุขุมเยือกเย็น ไม่เห็นเลี่ยวจิ้งชูเคลื่อนไหว นางที่อยู่ห่างจากโต๊ะวางเครื่องเซ่นไหว้หลายช่วงแขนชั่วแวบเดียวก็ไปยืนอยู่เบื้องหน้าต่งอ้ายแล้ว มือนวลเนียนดุจหยกยกขึ้นน้อยๆ ขยับผ้าห่มฟ้าดินที่ตลบออกปิดกลับไป บังใบหน้าเขียวคล้ำน่าเกลียดน่ากลัวดวงนั้นไว้
ใบหน้าของต่งอ้ายถูกปิดบังไว้ ลมหมุนก็สลายไป ทุกคนต่างอ่อนแรงทรุดฮวบลงกับพื้น
เลี่ยวจิ้งชูไม่ได้เชื่อเรื่องงมงาย นางย่อมไม่เชื่อว่าต่งอ้ายจะออกหน้าแทนหรือสำแดงฤทธิ์จริง ถึงอย่างนั้นนางก็ถูกทำให้ตะลึงงันไปเช่นกัน
ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนกลัว แต่เป็นเพราะใบหน้าที่เขียวคล้ำน่าเกลียดน่ากลัวดวงนั้น!
เดิมทีเลี่ยวจิ้งชูฟังคนอื่นพูดมารู้สึกขัดหูยิ่ง เพลิงโทสะลุกโชนอยู่ในใจนานแล้ว แต่นางก็รู้ เรื่องพัวพันถึงความบริสุทธิ์ตนเอง นางโต้ข้อกล่าวหาต่อหน้าผู้คน รังแต่จะยิ่งทาก็ยิ่งดำ
จะอย่างไรนางก็เป็นคนยุคปัจจุบัน เห็นทุกคนรังแกหญิงม่ายตัวคนเดียว ถึงกับใส่ร้ายป้ายสีสาดโคลนต่อหน้าต่อตา ในใจก็โกรธยากจะข่มกลั้นอารมณ์ไหว แม้จะรู้ว่าเอ่ยปากโต้แย้งเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนเหล่านี้ได้ใจเช่นนี้ ขณะไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่นั้น นางก็เหลือบไปเห็นหน้าต่างทางด้านใต้ที่เอากระดาษกรุหน้าต่างออกไปแล้ว จึงพลันเกิดประกายความคิด คิดวิธีให้คนตายช่วยออกหน้าแทนนางออกมาได้
ว่ากันตามข้อเท็จจริง อุปกรณ์สร้างความอบอุ่นในสมัยโบราณค่อนข้างแย่ ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่ยังหนาวเย็นจะไม่เปิดหน้าต่างเร็วเช่นนี้ ทว่าห้องที่ตั้งศพจะต่างออกไป ต้องเผาเงินกระดาษ กระดาษในกระถางดินเผาไม่อาจขาดช่วง เขม่าควันมากเกินไปย่อมต้องเปิดหน้าต่าง
หน้าต่างมีลมเย็นพัดเข้ามาเสมอ ทำให้หญิงสาวนึกถึงภาพยนตร์ชื่อดังของอเมริกาอย่างเรื่อง ‘พายุหมุน’ ซึ่งพายุหมุนนี้เกิดจากกระแสลมร้อนกับกระแสลมเย็นปะทะกัน
การเผากระดาษตามปกติ เพื่อไม่ให้เขม่าควันมากเกินไปและทำให้กระถางดินเผาร้อนมากจนแตกปริ ส่วนใหญ่ก็จะใส่เงินกระดาษลงไปในกระถางทีละแผ่นๆ แต่เลี่ยวจิ้งชูไม่ใช่ คล้ายต้องการจะสร้างความอบอุ่น นางเติมกระดาษลงไปในกระถางดินเผาจนเต็ม เผาจนไฟลุกโชน เปลวไฟลุกสูงเกินคืบ พวกบ่าวไพร่แม้จะเห็นแล้วขัดตา แอบบ่นว่านางใจร้อนเกินไป แต่นางเป็นภรรยาของผู้ตาย ไว้อาลัยด้วยความเศร้าโศกให้สามีที่ตายไป อยากจะส่งเงินให้มากหน่อย ใครก็ไม่กล้าห้ามปราม
เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่นานบริเวณรอบกระถางดินเผาก็ร้อนขึ้นมา ประจวบเหมาะกับลมหนาวขุมหนึ่งพัดเข้ามา ครั้นแล้วจึงเกิดฉากเช่นเมื่อครู่ก่อน
ส่วนที่ว่าลมพัดเปิดผ้าห่มฟ้าดินบนใบหน้าต่งอ้ายออก ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกตกใจจนแทบฉี่ราดนั้นกลับเป็นความบังเอิญโดยแท้ เลี่ยวจิ้งชูเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดผลที่เกินความคาดหมายเช่นนี้ ขณะแอบขอบคุณสวรรค์ที่ช่วยเหลือ นางก็อดตื่นตระหนกตกใจกับใบหน้าของต่งอ้ายไม่ได้
ป่วยด้วยโรคอะไร หลังจากตายไปแล้วจึงทำให้ผิวหน้าของคนเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเช่นนี้ได้
พลิกหาในความทรงจำจนทั่ว เลี่ยวจิ้งชูก็คิดอะไรไม่ออก นางพลันรู้สึกว่ามีดวงตาดุจดวงดาวเย็นยะเยือกคู่หนึ่งกำลังมองจ้องนางอยู่ เลี่ยวจิ้งชูมองตอบไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง กลับเป็นสะใภ้ใหญ่ที่กำลังมองประเมินนางอย่างเย็นชา ร่างพลันสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ช่างเป็นแววตาที่คมกริบเยือกเย็นเสียนี่กระไร หรือว่านางไม่กลัวผี
ขณะกำลังคาดเดาก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นมาจากด้านนอก
“บัณฑิตกองอาลักษณ์ ราชบัณฑิตสภาขุนนาง จ้วงหยวนปีที่สิบสองแห่งฮ่องเต้โม่ตี้ ลู่เซวียน ชื่อรอง ลู่เหวินฮั่น มาเคารพศพ!”
ในห้องโถงใหญ่มีเสียงอึงอลดังขึ้นมาทันที มองผ่านผ้าโปร่งบางที่กั้นอยู่ เห็นเพียงบุรุษท่าทางสุภาพเรียบร้อย สวมเสื้อคลุมยาวสีคราม สวมผ้าโพกศีรษะที่ทำจากผ้าไหมสีเขียว เดินเข้ามาตามทางเดินด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น
หน้าตาหล่อเหลาคมคายของเขามีดวงตาลึกล้ำดุจสระน้ำดำมืด เปล่งประกายสดใส หว่างคิ้วมีกลิ่นอายของความสง่าผ่าเผยแบบปัญญาชน เลี่ยวจิ้งชูมองดวงหน้าที่คล้ายเคยรู้จักมาก่อน จิตใจพลันเหม่อลอยไปชั่วขณะ
คนผู้นี้คือใคร ไยถึงรู้สึกคุ้นเคยมาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 มิ.ย. 64 เวลา 12.00 น.