เพิ่งจะสิ้นเสียงก็เห็นสาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยกลุ่มใหญ่เดินห้อมล้อมสตรีวัยกลางคนท่าทางสูงส่งสง่างามสองคนเข้ามา จางหมัวมัวยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ จัดๆ ชายเสื้อแล้วก้าวเร็วๆ เข้าไปรับหน้า สะใภ้ใหญ่ลุกขึ้นไปต้อนรับก่อนแล้ว นางยอบตัวลงน้อยๆ เอ่ยทักทาย
“คารวะนายหญิงใหญ่ คารวะท่านน้า”
เห็นนางอยู่ที่นี่ คนที่ถูกเรียกว่า ‘นายหญิงใหญ่’ ผู้นั้นพลันชะงักอึ้งไป ปรายตาไปที่จางหมัวมัวกับหลิ่วเอ๋อร์ สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก จากนั้นก็ผงกศีรษะให้สะใภ้ใหญ่ แล้วเดินเข้ามาข้างใน
“ในที่สุดสะใภ้สี่ก็ฟื้นแล้ว! บ่าวตกใจแทบตาย หมู่ตันนาง…”
สาวใช้รูปร่างอรชรหน้าตาสะสวยที่อยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่คนหนึ่งเห็นเลี่ยวจิ้งชูนั่งอยู่ ขอบตาก็แดงขึ้นมาทันที ส่งเสียงร้องมาแต่ไกล ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกนายหญิงใหญ่ถลึงตาใส่ นางอึกๆ อักๆ เดินมาถึงข้างกายเลี่ยวจิ้งชู ไม่กล้าพูดต่อ
เลี่ยวจิ้งชูหันไปมองสาวใช้ผู้นั้นแวบหนึ่ง
คนผู้นี้เป็นใคร ดูเหมือนจะสนิทสนมกับข้ามาก
ขณะกำลังคิดคนที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านน้า’ ผู้นั้นได้คว้ามือนางมากุมไว้
“อวิ๋นชูฟื้นแล้ว บุตรสาวที่อาภัพของแม่ เจ้าทำให้แม่ตกใจแทบตายแล้ว”
อวิ๋นชู?
เป็นชื่อของเจ้าของร่างนี้หรือ…
มองประกายห่วงกังวลอย่างจริงใจในดวงตาของสตรีงดงามวัยกลางคนผู้นี้แล้ว เลี่ยวจิ้งชูก็เชื่ออย่างไม่สงสัย อีกฝ่ายก็คือมารดาในชาตินี้ของนาง
“สวรรค์ เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว!” เห็นเลี่ยวจิ้งชูเซื่องซึมไม่พูดไม่จา ท่านน้าหลวนพลันสีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้านาง “แม่มาเยี่ยมเจ้าแล้ว อวิ๋นชู เจ้าพูดอะไรสักคำเถิด!”
“ไม่ว่าเป็นใครสะใภ้สี่ก็จำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ” จางหมัวมัวถือโอกาสเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่หรือ กระทั่งยาเย็นแล้ว นางก็ไม่ยอมดื่ม สะใภ้ใหญ่เพิ่งเกลี้ยกล่อมอยู่พักใหญ่เจ้าค่ะ”
“เป็นคนตายหรืออย่างไร ยาเย็นแล้วก็ไม่รู้จักไปอุ่นมา” นายหญิงใหญ่นิ่งงันไปชั่วขณะ แล้วหันมาด่าหลิ่วเอ๋อร์ “ยังจะยืนทึ่มทื่ออยู่นั่น!”
หลิ่วเอ๋อร์มองสะใภ้ใหญ่แวบหนึ่งแล้วรีบรับคำ
สะใภ้ใหญ่เบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง
เห็นสาวใช้ยกม้านั่งทรงดอกเหมยมาแล้ว นายหญิงใหญ่ก็ดึงท่านน้าหลวนมาพลางบอก “น้องสาวนั่งก่อน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดคุย” แล้วหันไปหาสะใภ้ใหญ่ “หลันเอ๋อร์ไม่ใช่ไปเรือนหลันฟางแล้วหรือ ซูเอ๋อร์ยังก่อเรื่องวุ่นวายอยู่หรือไม่”
“คุณหนูสามบอก คุณชายสี่เพิ่งจากไปนางก็ออกเรือน ไม่พูดถึงว่ายังทำใจไม่ได้ บ้านว่าที่แม่สามีก็จ้องจะจับผิด เป็นคนทั่วไปก็แล้วไปเถิด แต่นี่คู่หมายเป็นถึงบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการทหารสิบมณฑล นางบอกว่าเป็นตายก็ไม่ยอมแต่ง”
นายหญิงใหญ่ย่นหัวคิ้ว “เจ้าไม่ได้บอกหรือว่านี่เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท แม้แต่นายท่านก็ไม่อาจตัดสินใจเองได้”
“สะใภ้บอกไปแล้วเจ้าค่ะ ยังบอกว่านายท่านได้กราบทูลเรื่องงานศพแล้ว ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาททรงยืนกรานให้จัดงาน เช่นนั้นจวนกั๋วกงก็ไม่กล้ากล่าวคำว่าไม่ วันหน้าถ้ายังกล้าทูลเรื่องนี้อีก นั่นก็เท่ากับชี้ว่าฝ่าบาททรงวินิจฉัยผิดพลาดมิใช่หรือไร หลังแต่งงานไปหากคุณหนูสามจะกลับมาที่จวนกั๋วกง นายท่านย่อมช่วยออกหน้าให้ แต่ถ้าฝ่าบาททรงเห็นว่าไม่เหมาะ ย่อมทรงยกเลิกกำหนดวันแต่งงานด้วยพระองค์เอง พอพูดไปเช่นนี้ อย่างน้อยสะใภ้ก็เกลี้ยกล่อมนางให้สงบลงได้แล้ว”
“คนทั้งบ้าน ไม่มีสักคนที่รู้ประสา ทุกเรื่องล้วนทำให้คนเป็นห่วง หลันเอ๋อร์ทำทุกอย่างด้วยความตั้งอกตั้งใจจนถึงที่สุด กลับไม่ใช่คนนำโชคไม่รู้ข้าทำเวรทำกรรมมาแต่ชาติไหน มีบุตรชายสายตรงอยู่เพียงสองคน กลับทยอยจากไปคนหนึ่งก่อนคนหนึ่งหลัง จนตอนนี้ไม่เหลือแล้ว ถ้าไม่ใช่ยังมีหลานชายตัวน้อยอยู่อีกคน ข้าก็อยากตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด!”
นายหญิงใหญ่พูดไป ไม่รู้คำพูดประโยคไหนทำให้สะเทือนใจ น้ำตาร่วงเผาะๆ ลงมาราวกับมุกไม่ขาดสาย สะใภ้ใหญ่รีบกล่าวปลอบ
“นายหญิงใหญ่โปรดระงับความเศร้าโศกด้วย คนทั้งบ้านต่างหวังพึ่งท่านนะเจ้าคะ”
“ที่ด้านหน้ามีเจ้าหน้าที่สำนักศึกษาหลวงมาจำนวนหนึ่ง…” นายหญิงใหญ่เช็ดดวงตา มองสะใภ้ใหญ่ “เสื้อผ้าด้ายดิบไม่พอแล้ว ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าในคลังยังมีผ้าด้ายดิบอีกหลายพับ เจ้าเอากุญแจไปหาดู…”
“นายหญิงใหญ่ความจำดียิ่งนัก ที่เหลือจากปีก่อนล้วนเก็บอยู่ในคลัง สะใภ้ได้สั่งให้อิ๋งตงไปเอากุญแจแล้ว”
“อืม ยังคงเป็นหลันเอ๋อร์ที่ละเอียดรอบคอบ…” นายหญิงใหญ่ผงกศีรษะ “จริงสิ ที่ด้านหน้าได้เขียนใบแสดงรายละเอียดของใช้ไว้แล้ว เจ้าไปดูซิว่ายังมีอะไรขาดอีกหรือไม่ ถ้าในจวนมีของก็เอาออกมาให้หมด ถ้าไม่มีก็รีบไปซื้อมาเพิ่มเติม อย่าโอ้เอ้จนเสียงานเสียการ”
“สะใภ้จะไปเดี๋ยวนี้ นายหญิงใหญ่ยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไปเถิด จัดการเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเฝ้าห้องโถงที่ตั้งศพ อย่าลืมควบคุมบรรดาสะใภ้และหญิงรับใช้สูงวัยให้ดี ให้หญิงรับใช้ที่อยู่ด้านหน้าเหล่านั้นดื่มสุราให้น้อยลงหน่อย ตอนเฝ้ายามกลางคืนให้มีสติ อย่าได้ก่อปัญหาขึ้น”