หลังจากสะใภ้ใหญ่แยกตัวไปแล้ว นายหญิงใหญ่ก็หันมามองเลี่ยวจิ้งชู “อวิ๋นชูจำอะไรไม่ได้เลยจริงหรือ”
เลี่ยวจิ้งชูพยักหน้า เลียนแบบน้ำเสียงของสะใภ้ใหญ่ “เรียนนายหญิงใหญ่ สะใภ้จำอะไรไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
“อย่าเรียกข้าว่านายหญิงใหญ่ ดูห่างเหินพิกล อวิ๋นชูยังคงทำเหมือนเมื่อก่อน เรียกข้าว่าท่านป้าเถอะ” แล้วหันไปทางท่านน้าหลวนที่กำลังเช็ดน้ำตา “น้องสาวก็อย่าเสียใจมากเกินไป จะอย่างไรอวิ๋นชูก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เหมือนอ้ายเอ๋อร์ที่ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว”
เห็นพวกนางพูดคุยกัน สาวใช้หน้าตาสะสวยผู้นั้นก็กระซิบเสียงเบากับเลี่ยวจิ้งชู
นางก็เป็นสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงาน มีชื่อว่าฝูหรง เมื่อครู่ถูกนายหญิงใหญ่เรียกตัวไปซักถาม ส่วนหมู่ตันที่นางเอ่ยถึงเมื่อครู่ก็คือสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงานอีกคน ซึ่งหลิ่วเอ๋อร์บอกว่าตายพร้อมผู้เป็นนายผู้นั้น
ที่นี่คือเมืองหลวนเฉิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นหลวน เจ้าของร่างนี้ก็แซ่หลวน นามอวิ๋นชู บิดาเป็นหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง เลี่ยวจิ้งชูคิดอยู่นานก็จำไม่ได้ว่าในประวัติศาสตร์มีแคว้นหลวนอยู่ สุดท้ายก็ส่ายหน้า ชาติก่อนเรียนประวัติศาสตร์ได้ไม่ดี บางทีข้าอาจจะลืมไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะเป็นมิติอื่น
นางจึงกระซิบถามฝูหรงเรื่องอื่น
แคว้นหลวนเลื่อมใสและส่งเสริมเรื่องความรู้การศึกษา ท่วงทำนองในการใช้ภาษาและตัวอักษรหลากหลายฟุ่มเฟือย หลวนอวิ๋นชูในฐานะบุตรสาวสุดที่รักของหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง…อาจารย์ใหญ่แห่งสถาบันการศึกษาสูงสุดของแคว้นหลวนตั้งแต่เล็กก็สติปัญญาดีเฉลียวฉลาด ห้าขวบก็พูดจาเป็นเนื้อถ้อยกระทงความ แต่งบทกวีได้ในเจ็ดก้าวแล้ว เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาก็ยิ่งเชี่ยวชาญทุกอย่างทั้งหมาก พิณ อักษร วาดภาพ
ฝูหรงยังบอกนางเคยได้รางวัลชนะเลิศในงานชุมนุมบทกวีที่จัดขึ้นในเมืองหลวนเฉิงปีละครั้งติดต่อกันถึงสามปี เอาชนะคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถโดดเด่นจำนวนมาก ได้รับการยกย่องเป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค เป็นบุปผาล้ำค่าแห่งเมืองหลวนเฉิง เหล่าบัณฑิตและกวีลือนามพากันมาเยือนด้วยความเลื่อมใสในชื่อเสียงจนธรณีประตูจวนสกุลหลวนแทบจะแบนราบ แต่ก็จนใจด้วยผู้ใหญ่ได้ตกลงหมั้นหมายนางให้กับต่งอ้ายคุณชายสี่บุตรชายเจิ้นกั๋วกงไว้ตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้คนได้แต่ทอดถอนใจด้วยความเสียดาย
ต่งอ้ายมีพี่ชายน้องชายเจ็ดคน พี่สาวน้องสาวสี่คน ชื่อของพี่น้องผู้ชายเจ็ดคนตั้งตามอักษรตัวหน้าเจ็ดตัวของคุณธรรมทั้งแปดจง เซี่ยว เหริน อ้าย ซิ่น อี้ และเหอ ชื่อของพี่น้องผู้หญิงสี่คนแบ่งเป็นฉี ฉิน ซู และฮว่า
เจิ้นกั๋วกงเป็นนายทหารคนหนึ่ง ต่งอ้ายตั้งแต่เล็กชอบฝึกยุทธ์ไม่ชอบเรียนหนังสือ ชอบคบค้าสหายในยุทธภพ ทำให้ไม่เป็นที่ชอบใจของหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงอย่างมาก เมื่อเปรียบกับกวีลือนามของสำนักศึกษาหลวงแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมต่อบุตรสาว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ประการแรกจวนกั๋วกงมากอำนาจ ประการที่สองฟูเหรินของจวนทั้งสองเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
ครึ่งปีก่อน ต่งอ้ายก็ล้มป่วยนอนอยู่กับเตียง พยายามรักษาทุกวิถีทางก็ไร้ผล จวนกั๋วกงจึงไปเชิญหมอดูมาผู้หนึ่ง หมอดูบอกเป็นโรคที่เกิดจากความอัปมงคล และให้จัดงานมงคลเพื่อแก้ดวงชะตา ไหนเลยจะรู้ อาการป่วยยังไม่หาย เพิ่งแต่งงานได้สามวันหลวนอวิ๋นชูก็กลายเป็นม่ายเสียแล้ว
ขณะกำลังพูดคุยอยู่นั้นหลิ่วเอ๋อร์ก็ยกยาที่อุ่นร้อนแล้วเข้ามา
นายหญิงใหญ่เห็นแล้วก็แตะตัวเลี่ยวจิ้งชู “อวิ๋นชูรีบดื่มตอนที่ยังร้อน”
เลี่ยวจิ้งชูย่นหัวคิ้ว ไม่รู้ครั้งนี้ยายังมีปัญหาหรือไม่
“อวิ๋นชูเป็นอะไรไป” เห็นนางไม่พูด นายหญิงใหญ่ซึ่งในใจมีความลับที่ไม่อาจบอกคนอื่นซุกซ่อนอยู่จึงซักไซ้ “ไม่อยากกินยาหรือ”
“เอ่อ…”
ยามกะทันหันเลี่ยวจิ้งชูคิดคำพูดไม่ออก เมื่อมาไตร่ตรองอย่างละเอียด นายหญิงใหญ่คิดจะวางยาพิษให้นางเป็นใบ้ เป็นเพราะอยากให้นางหุบปาก เมื่อรู้ว่านางสูญเสียความทรงจำแล้วย่อมไม่ทำร้ายนางอีก ยานี้น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว เลี่ยวจิ้งชูลังเลเล็กน้อยแล้วบอก
“ยานี่ขมเกินไป ข้า…สะใภ้ไม่ชอบ”