มีคำโบราณกล่าวไว้ ‘อยากเป็นคนงาม ต้องสวมชุดขาว’
นางสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นน้อยๆ ร่างอรชรอ้อนแอ้น มองจากไกลๆ คล้ายเทพธิดาที่อิ่มทิพย์ไม่กินอาหารในแดนมนุษย์ มองบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคที่เป็นแม่ม่ายใหม่ผู้นี้แล้ว ในดวงตาที่เร่าร้อนทุกคู่มีความเสียดาย มีความเวทนาสงสาร และก็มีคนที่ดีใจบนความโชคร้ายของผู้อื่น
เลี่ยวจิ้งชูเหยียดไหล่ตรง เดินช้าๆ ผ่านผ้าม่านไปทีละชั้นเข้าไปยังที่ตั้งศพพร้อมกับฝูหรง
“ของพวกนี้ส่วนใหญ่คนของสำนักศึกษาหลวงเป็นผู้ทำมา” ฝูหรงชี้ไปที่คำกล่าวไว้อาลัยเป็นแผ่นๆ “ท่านดูสิ แม้แต่คุณชายถังก็ส่งมาแล้ว ตอนคุณชายสี่ยังมีชีวิตอยู่ชิงชังพวกเขาเป็นที่สุด บอกพวกเขาเป็นพวกครวญครางทั้งที่ไม่มีโรคพวกเขาเองก็ไม่เคยย่างก้าวเข้าประตูจวนกั๋วกง โดยเฉพาะคุณชายถังผู้นี้ ทั่วร่างเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี นอกจากคุณชายลู่แล้ว ก็นับว่าเขาเป็นคนที่ไม่ถูกชะตากับคุณชายสี่ที่สุดแล้ว” ในน้ำเสียงเจือความภาคภูมิใจขุมหนึ่ง “วันนี้ที่เขามาได้ ต้องเป็นเพราะเห็นแก่หน้าท่านเจ้าค่ะ”
เลี่ยวจิ้งชูกวาดตามองผ่านๆ พบว่าทั้งสองฟากของทางเดินมีคำกล่าวไว้อาลัยแขวนอยู่เต็มไปหมด คำกล่าวไว้อาลัยระผ่านหน้านางไปเป็นแผ่นๆ ราวกับจะรอรับความชื่นชม เสียดาย…นางไม่รู้จักตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว
เลี่ยวจิ้งชูส่ายหน้า ทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง
ไหนเลยจะรู้ การส่ายหน้าอย่างไม่ตั้งใจของนางในครั้งนี้ กลับนำมาซึ่งเสียงทอดถอนใจอย่างต่อเนื่อง ห้องโถงที่บรรยากาศเคร่งขรึมพลันไม่สงบขึ้นมา ทุกคนไม่รู้ว่านางไม่รู้หนังสือ ต่างเข้าใจว่าคำไว้อาลัยที่พวกเขาเค้นสมองครุ่นคิดออกมา ไม่เข้าตาทิพย์ของบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคท่านนี้แม้แต่น้อย อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจด้วยความเศร้าสร้อย จะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ผ่านความเศร้าโศกและเจ็บปวดรวดร้าวใจแบบเดียวกับนาง ย่อมเขียนคำไว้อาลัยที่ลึกซึ้งตราตรึงใจออกมาไม่ได้
ความไม่สงบที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาทำให้เลี่ยวจิ้งชูรู้สึกตื่นตระหนก นางไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดไป ดีที่มีฝูหรงประคองอยู่ จึงไม่ถึงกับเสียการควบคุมตัว เพียงยืดอกเดินไปยังที่ตั้งศพอย่างไม่รีบไม่ร้อนภายใต้สายตาผู้คนที่มองมา
สาวใช้เลิกม่านขึ้น เลี่ยวจิ้งชูเดินช้าๆ เข้าไปในโถงด้านใน ข้างในถึงกับมีคนนั่งคุกเข่าอยู่หลายสิบคน ค่อนข้างเบียดเสียด แต่กลับไม่ไร้ระเบียบ เห็นนางเดินเข้ามา ดวงตาหลายสิบคู่ต่างพุ่งมาที่ร่างของนาง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เงียบสงัดกดดันจนทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
เลี่ยวจิ้งชูมองผ่านไปทีละคน นอกจากสะใภ้ใหญ่แล้วก็ไม่รู้จักใครเลยสักคน
ฝูหรงรู้ว่านางความจำเสื่อม เห็นสายตานางจับนิ่งไปที่ร่างหญิงสาวไหล่บางเอวเล็กอ่อนช้อยละมุนละไมที่อยู่ข้างสะใภ้ใหญ่ จึงกระซิบบอก “นางคือสะใภ้รอง ชื่อเฉาเสวี่ย เป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายสำนักตรวจการนครหลวง ในบรรดาสะใภ้หลายคนในจวน นางสุภาพอ่อนโยนที่สุด”
มองประเมินเฉาเสวี่ยอยู่ครู่หนึ่ง สายตาก็เคลื่อนไปที่ร่างหญิงสาวแต่งตัวแบบคนที่แต่งงานแล้วอีกคนหนึ่ง ก่อนสบเข้ากับสายตาที่มองมาด้วยความเกลียดชังคู่หนึ่ง เลี่ยวจิ้งชูใจสั่นสะท้าน นางเพิ่งจะแต่งเข้ามาได้สามวัน ไฉนคนผู้นี้จึงดูเกลียดชังนางมากถึงเพียงนี้
หรือว่าเป็นอนุของต่งอ้าย? ความเกลียดชังที่เผยออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทำให้เลี่ยวจิ้งชูนึกขึ้นมาได้ บุรุษในสมัยโบราณสามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้ จึงมองสตรีผู้นั้นอีกหลายครั้ง
ทุกคนต่างคุกเข่าอยู่ มองไม่ออกว่ารูปร่างสูงหรือเตี้ย เพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้รูปร่างดูจะใหญ่โตและแข็งแรงกว่าเฉาเสวี่ย ใบหน้ารูปไข่เป็ด หางคิ้วชี้ ไม่เหมือนสะใภ้ใหญ่ที่เก็บความรู้สึกไม่เปิดเผย ในดวงตารูปเมล็ดซิ่งของคนผู้นี้มีประกายเฉลียวฉลาดที่ติดตัวมาแต่เกิด ยังมีริมฝีปากบางเฉียบที่เจ้าคารมช่างเจรจา เพียงเห็นก็รู้ว่าเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบใคร