นายหญิงใหญ่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กวาดตามองหลิ่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนพื้น หลิ่วเอ๋อร์เนื้อตัวสั่นเทิ้ม สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ แล้วก็หันมามองหลวนอวิ๋นชู นายหญิงใหญ่แอบทอดถอนใจ เรื่องนั้นรออีกสักระยะค่อยพูดกับนางก็แล้วกัน
“หลิ่วเอ๋อร์เองเป็นตายก็ไม่ยอมแต่งออก?”
“บ่าววิงวอนนายหญิงใหญ่ได้โปรดช่วยให้บรรลุสมความปรารถนา!”
นายหญิงใหญ่เพิ่งพูดออกมา หลิ่วเอ๋อร์ก็คุกเข่าลงไปแล้ว
“เฮ้อ ล้วนแต่ก่อเวรก่อกรรม” นายหญิงใหญ่ทอดถอนใจออกมาพลางมองหลิ่วเอ๋อร์ “เจ้าออกไปก่อนเถิด”
เห็นหลิ่วเอ๋อร์ไม่ลุกขึ้น สี่เหมยจึงดึงนางออกไป
“นางหนูสองคนนี้เห็นแก่ความสัมพันธ์ก่อนเก่า แม้จะยังไม่ได้เปิดหน้า แต่พวกนางก็เต็มใจจะครองพรหมจรรย์ อวิ๋นชูก็อย่าถือสาเลย ปล่อยพวกนางครองพรหมจรรย์ไปเถิด” แล้วกล่าวว่า “อวิ๋นชูไม่อยากเห็นพวกนาง ก็ให้หลิ่วเอ๋อร์กลับมาอยู่กับข้า”
ท่าทางคล้ายปรึกษาหารือ แต่น้ำเสียงนายหญิงใหญ่กลับไม่อนุญาตให้กังขาใดๆ ทั้งสิ้น หลวนอวิ๋นชูแอบยิ้ม ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่นางเป็นคนครองพรหมจรรย์ ใครอยากครองพรหมจรรย์ก็ทำไป เพียงอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าคอยเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของนางก็พอ
“ทุกอย่างแล้วแต่ท่านป้าจะตัดสินใจเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างรู้ว่าตอนต่งอ้ายมีชีวิตเพียงแต่งภรรยาคนเดียว เวลานี้มีอนุสองคนโผล่มาครองพรหมจรรย์ บอกยังไม่ได้เปิดหน้า พูดออกไปใครจะเชื่อ
หน้าตาของบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคอย่างนางยังจะเหลืออยู่หรือ
เห็นหลวนอวิ๋นชูรับคำอย่างทันควัน เหยาหลันก็อึ้งตะลึงไป นายหญิงใหญ่กลับผงกศีรษะด้วยความพอใจ
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดยิ่ง
“เมื่อครู่พี่สะใภ้ใหญ่บอกจะมีศึกสงครามหรือ”
หลวนอวิ๋นชูสนใจเรื่องนี้มากกว่า ถ้ามาเกิดในช่วงกลียุคจริง แม้จะสับสนวุ่นวายจากสงคราม แต่สำหรับนางที่กระหายอยากจะได้อิสรภาพแล้ว นับเป็นจุดพลิกผันอย่างหนึ่ง
“ใช่ เดือนหน้าแม่ทัพใหญ่ก็จะยกทัพไปทางตะวันออกแล้ว”
“ยกทัพไปตะวันออก ทางตะวันออกคือที่ใดหรือ”
น้ำชาแทบจะถูกพ่นออกมา นายหญิงใหญ่ไอออกมา เหยาหลันก็มีสีหน้าประหลาดใจ
“สะใภ้สี่สูญเสียความทรงจำแล้ว” ฝูหรงใบหน้าแดงก่ำ “ตะวันออกคือแคว้นชื่อเจ้าค่ะ!”
หลวนอวิ๋นชูนึกขึ้นมาได้ในทันที วันนั้นเคยได้ยินฝูหรงบอกแล้ว แคว้นชื่อตั้งอยู่ตอนล่างของแม่น้ำหลวน เพียงครอบครองดินแดนด้านตะวันออกเฉียงใต้ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยามกะทันหันนางถึงกับไม่ทันนึก หลวนอวิ๋นชูหน้าแดงขึ้นมา
“อยู่ดีๆ เพราะเหตุใดต้องยกทัพไปบุกแคว้นชื่อด้วยเจ้าคะ ทำให้ราษฎรต้องเดือดร้อนมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก”
“น้องสาวยังคงเป็นเช่นนี้ แม้จะสูญเสียความทรงจำแล้ว ก็ไม่ต้องการให้ทำสงคราม” เหยาหลันมองหลวนอวิ๋นชูแล้วยิ้ม “เจ้าคัดค้านเรื่องที่ฝ่าบาทร่วมกับแคว้นหลียกทัพไปกำจัดแคว้นชื่อ บอกหลายปีมานี้แคว้นหลีเตรียมพร้อมลับอาวุธ บำรุงม้าศึก แคว้นหลีในวันนี้ไม่เหมือนในอดีต มีเจตนาที่จะยึดครองใต้หล้ามานานแล้ว ที่พูดกันว่าเมื่อไม่มีปากฟันย่อมหนาวเหน็บ แคว้นชื่อสูญสิ้น อันดับต่อไปก็คือแคว้นหลวน มีเพียงแคว้นหลวนและแคว้นชื่อร่วมมือกันต่อต้านแคว้นหลี จึงจะเป็นแนวทางในการเอาตัวรอด ที่ถังเซียวบัณฑิตสภาขุนนาง ทั่นฮวาปีที่สิบเอ็ดของรัชสมัยฮ่องเต้โม่ตี้โลหิตสาดในท้องพระโรง ถูกปลดจากขุนนางก็เพราะเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะแคว้นหลวนไม่เคยมีตัวอย่างสังหารบัณฑิตมาก่อน เกรงว่าคงไม่มีชีวิตไปนานแล้ว”