เฮ้อ ต่งกั๋วกงผู้นี้ช่างมีความตั้งอกตั้งใจเสียจริง ข้างหน้าก็เป็นน้ำ ข้างหลังก็เป็นน้ำ ไม่กลัวว่าน้ำมากเกินไปจนจะท่วมคนตายหรือ หลวนอวิ๋นชูมองระลอกคลื่นสีเขียวที่กระเพื่อมไหวในสระน้ำแล้วยิ้มออกมาบางๆ
“เรือนแถวทางด้านตะวันตกนั้นเป็นห้องครัวเล็ก โรงโม่ กับห้องเก็บของ ทางด้านตะวันออกคือสถานที่ที่บ่าวไพร่ทั้งหลายพักอาศัย” ซิ่วเอ๋อร์ชี้ไปที่เรือนข้างสองแถวด้านตะวันตกและด้านตะวันออกพลางอธิบาย
“โรงโม่?”
นางเป็นคนในยุคปัจจุบันที่เติบโตขึ้นมาในเมืองใหญ่ ยังจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าโรงโม่ในยุคสมัยโบราณมีหน้าตาเป็นอย่างไร
“ใช่เจ้าค่ะ คุณชายสี่ชอบกินเต้าหู้สดใหม่นุ่มลื่น เต้าหู้ที่ส่งมาจากครัวใหญ่ถ้าไม่เย็น ก็ไม่สดใหม่แล้ว นายหญิงใหญ่จึงตั้งโม่เล็กไว้ที่นี่โม่หนึ่งเพื่อโม่เต้าหู้ให้คุณชายสี่โดยเฉพาะ ส่วนพวกข้าวและหมี่ยังคงให้ครัวใหญ่โม่เสร็จแล้วส่งมา”
บอกว่าเป็นโม่เล็ก แต่ความจริงแล้วก็ไม่เล็ก หินศิลาเขียวทรงกระบอกสองก้อนที่แกะร่องให้เป็นทางน้ำไหลวางซ้อนกันบนล่างนี้ ถ้าจะบดถั่วเหลืองเพื่อทำเต้าหู้เพียงชามเดียว เกรงว่าปริมาณถั่วคงน้อยจนไม่พอจะไหลออกมาตรงร่องที่ใหญ่นี้ด้วยซ้ำ หลวนอวิ๋นชูมองโม่หินที่ตั้งอยู่กลางพื้นแล้วอดทอดถอนใจไม่ได้
แม้จะไม่ใช่ของมีราคาอะไร แต่เอาโม่หินโม่หนึ่งมาตั้งไว้ที่นี่เพียงเพื่อให้ต่งอ้ายได้กินอาหารที่ถูกปากเป็นบางครั้งบางคราว ถ้าเอาไปไว้บ้านชาวบ้านทั่วไปเกรงว่าต้องสิ้นเปลืองเงินไปหาถั่วมามากๆ เพื่อจะโม่สักครั้ง คงไม่คุ้มค่าและเสียเวลาด้วยซ้ำ นี่เห็นชัดถึงความรักที่นายหญิงใหญ่มีต่อต่งอ้าย
ทุกสิ่งทุกอย่างในเรือนลู่ย่วนไม่มีสิ่งไหนไม่บ่งบอกถึงความเป็นที่โปรดปรานของต่งอ้ายยามมีชีวิตอยู่ นึกถึงใบหน้าที่ค่อยๆ ซูบเซียวลงของนายหญิงใหญ่ หลวนอวิ๋นชูก็พอเข้าใจถึงความเจ็บปวดและความเศร้ารันทดของนายหญิงใหญ่ที่ต้องมาสูญเสียบุตรชายในช่วงวัยกลางคน
แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่นางก็ยังมีความเศร้าอาดูรบางๆ ปกคลุมอยู่ในใจต่อการจากไปตั้งแต่อายุยังน้อยของต่งอ้าย
ออกจากโรงโม่ หลวนอวิ๋นชูก็เดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ปูด้วยเศษหินที่คดเคี้ยวเงียบวิเวก นางเดินลึกเข้าไปทางป่าไผ่
“ด้านหลังป่าไผ่เป็นสวนดอกไม้” ซิ่วเอ๋อร์ชี้ไปข้างหน้า “ในนั้นมีดอกไม้แปลกๆ มากมาย บ่าวเองก็ไม่รู้จัก คุณชายสี่รักและทะนุถนอมที่นี่ยิ่ง ปกติจะห้ามเข้า”
“อ้อ…”
หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะ แต่เท้ากลับไม่ได้หยุด นางเป็นเจ้านาย ‘ห้ามเข้า’ ไม่มีผลต่อนาง
“เพิ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ สวนดอกไม้ยังไม่มีอะไรน่าดูหรอกเจ้าค่ะ” สี่จวี๋แลกเปลี่ยนสายตาเป็นนัยกับสี่หลัน แล้วรีบสาวเท้าขึ้นมาประคองหลวนอวิ๋นชู “ท่านก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว ไม่สู้วันนี้พอแค่นี้ก่อน รอดอกไม้ผลิบานแล้ว บ่าวค่อยมาเป็นเพื่อนท่าน”
สี่จวี๋สี่หลันแตกต่างจากซิ่วเอ๋อร์ ทั้งสองคนสวมหมวกเป็นผู้ควบคุม ไม่อาจทำเมินเฉยต่อพวกนางเกินไป เกิดไม่พอใจขึ้นมาแล้วพวกนางแต่งเรื่องเหลวไหลไปฟ้องนายหญิงใหญ่ล่ะก็ ตนเองจะได้รับรองเท้าเล็กรูปแบบต่างๆ กองโตในทันที
คิดมาถึงตรงนี้ หลวนอวิ๋นชูหมุนตัวมาก็เห็นสี่หลันกำลังส่งสายตาให้สี่จวี๋อยู่เงียบๆ พอดี เมื่อเห็นนางมองมาก็รีบเปลี่ยนสีหน้า ยืนอยู่กับที่อย่างนอบน้อม