รับรู้ถึงนิ้วมือบนหน้าผากหยุดนิ่งลง นายหญิงใหญ่ที่คล้ายหลับไปแล้วพลันลืมตาขึ้น เห็นหลวนอวิ๋นชูสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย จมอยู่ในความครุ่นคิด ใจก็อ่อนยวบลงไปหลายส่วน
“อวิ๋นชูสูญเสียความทรงจำแล้ว เรื่องพวกนี้คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด”
นิ้วมือเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“สี่จวี๋ก็นวดให้ท่านอยู่เสมอ แต่ท่านกลับมอบนางให้สะใภ้ เห็นท่านผ่ายผอมอ่อนแอลงทุกวัน สะใภ้รู้สึกไม่สบายใจ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มน้อยๆ “แรงมือของนางไม่ดีเหมือนเจ้า” รู้สึกว่ามือที่เคลื่อนไหวอยู่บนหน้าผากออกจะใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นายหญิงใหญ่จึงลุกขึ้นมานั่ง ตบๆ เตียงเตา “นวดมาตลอดเช้าแล้ว อวิ๋นชูนั่งพักสักประเดี๋ยวเถอะ”
“สะใภ้…”
เหยาหลันมาแล้ว!
คิดจะบอก ‘สะใภ้ไม่เหนื่อย’ รีบนวดให้นายหญิงใหญ่หลับไปเสีย ตนจะได้เลิกงานเร็วหน่อย หลวนอวิ๋นชูเพิ่งเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากลานเรือน ชำเลืองมองนายหญิงใหญ่แวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายไม่รู้สึกอะไร หัวใจของหลวนอวิ๋นชูก็ลอยละล่องขึ้นมา นับว่าสวรรค์ไม่ได้ทอดทิ้งนางเสียทีเดียว พร้อมๆ กับการสูญเสียทักษะฝีมือทั้งหมดไปก็ได้มอบความตื่นเต้นดีใจเล็กๆ อย่างหนึ่งให้กับนาง ประสาทสัมผัสทั้งหกของนางแตกต่างจากคนทั่วไป!
โดยเฉพาะความสามารถในการได้ยินเสียง…นางนั่งอยู่ในห้องก็สามารถได้ยินเสียงที่ลานด้านนอก นอกจากนี้ขอเพียงได้ยินครั้งหนึ่งก็จะจดจำลักษณะพิเศษจำเพาะของเสียงนั้นได้ ครั้งต่อไปก็จะวิเคราะห์จากเสียงและบอกได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ตอนแรกนางยังเข้าใจว่าเป็นเพราะสิ่งปลูกสร้างในสมัยโบราณไม่กันเสียงเสียอีก
ด้วยไม่อยากให้เหยาหลันเห็นว่านางนวดเป็นและเที่ยวคาดเดาส่งเดช หลวนอวิ๋นชูจึงหดมือกลับมา รินน้ำชาถ้วยหนึ่งยื่นไปที่ข้างมือนายหญิงใหญ่ “ท่านป้าดื่มน้ำชา” แล้วลงนั่งที่ข้างกายอีกฝ่าย
หลวนอวิ๋นชูหยิบงานเย็บปักที่สี่จู๋ทำได้ครึ่งหนึ่งขึ้นมาพิจารณาดู “ฝีมือของสี่จู๋ดียิ่งนัก ทำให้ใครหรือ”
“พื้นรองเท้าที่ข้างนอกทำขายทั้งบางทั้งแข็ง นายหญิงใหญ่สวมแล้วไม่สบาย บ่าวกำลังเร่งทำพื้นเรียบๆ หลายคู่” เห็นนางพลิกไปพลิกมาพินิจพิเคราะห์ดู สี่จู๋ก็รีบแย่งกลับมา ใบหน้าแดงเล็กน้อย “ทำให้สะใภ้สี่ขบขันแล้ว ฝีมือการเย็บปักถักร้อยของท่านเทียบได้กับของในวังหลวง บ่าวจะกล้าเปรียบกับท่านได้อย่างไรเจ้าคะ”
เทียบได้กับของในวังหลวง?
หลวนอวิ๋นชูหัวใจเต้นตึกตัก ไม่ใช่บอกสมัยโบราณสตรีที่เล่าเรียนหนังสือล้วนไม่เป็นงานเย็บปักถักร้อยหรือ เหตุใดบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคผู้นั้นกลับเป็นทั้งสองอย่าง นางแอบชำเลืองมองสีหน้านายหญิงใหญ่ นางคงไม่ให้ข้าทำรองเท้ากระมัง
นี่ไม่ใช่เป็นการยกหินทับเท้าตัวเองหรอกหรือ
หลวนอวิ๋นชูใจเต้นระรัว แต่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ได้ยินเสียงฝีเท้าของเหยาหลันเดินใกล้เข้ามา นางก็พูดอย่างเสียใจ
“สี่จวี๋ไม่มีวาสนาเช่นเจ้า สองวันนี้หญิงรับใช้สูงวัยที่เรือนด้านหลังถือว่าตนอาวุโสมีประสบการณ์มาก เรียกใช้ก็ไม่ค่อยยอมขยับ ทำเอาสี่จวี๋เหน็ดเหนื่อยยุ่งวุ่นวายไปหมด”
นายหญิงใหญ่ย่นคิ้ว “ก่อนแม่ของเจ้าไปก็พูดถึงเรื่องนี้ บอกข้าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนคนในเรือนของเจ้า” แล้วบอกอย่างมีเมตตา “ไว้ข้าเจอหลันเอ๋อร์แล้วจะเร่งรัดให้”
ไม่ผิดจากที่คาด ข้อดีของการตบสะโพกม้าพอตั้งราวไม้ไผ่ขึ้นก็เห็นเงา หลวนอวิ๋นชูสังเกตเห็นมาตั้งแต่แรกแล้วว่าในเรือนของนางก็คล้ายสมัยกั๋วหมินตั่ง ที่มีกองทหารหลายฝักหลายฝ่ายเกิดขึ้นพร้อมกัน จะวางแผนออกจากจวน ภายนอกนางจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำ ภายในก็ต้องสร้างกองกำลังสายตรงของตนเอง ครั้นแล้วตอนมารดาปฏิเสธเรื่องนางขอกลับไปครองความเป็นม่ายที่บ้านแม่อย่างเฉียบขาด หลวนอวิ๋นชูจึงบอกเรื่องต้องการซื้อบ่าวไพร่ โดยเฉพาะสาวใช้ห้องข้างที่ยังไม่ได้เปิดหน้าสองคนนั้น นางยืนกรานแน่วแน่ว่าจะไม่เอาไว้ เดิมมารดาก็มาจากครอบครัวใหญ่จึงเข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ดี ย่อมสนับสนุนบุตรสาวเต็มที่ มารดานางเป็นคนออกหน้า นายหญิงใหญ่ก็ไม่สะดวกจะคัดค้าน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนนายหญิงใหญ่จึงเอาสี่จวี๋สี่หลันแทรกเข้ามาเสียเลย อ้างคำพูดเสียน่าฟังว่า ‘เป็นห่วงอวิ๋นชู’
สองวันหลังจากมารดากลับไป สี่จวี๋สี่หลันก็เข้ามารับตำแหน่งแล้ว แต่เรื่องซื้อบ่าวไพร่กลับไม่ได้เอ่ยถึงอีก ทำเอาหลวนอวิ๋นชูกระทั่งอยู่ในห้องตนเองจะไอสักทีก็ยังไม่กล้าเสียงดัง มาบัดนี้เห็นนายหญิงใหญ่เป็นฝ่ายรับปากด้วยตนเอง หลวนอวิ๋นชูก็หยักยกมุมปาก
เหยาหลันจะมาถึงอยู่เดี๋ยวนี้ เรื่องนี้สำเร็จแล้ว