“นายท่าน ข้าไม่เข้าใจเรื่องบ้านเมือง แต่ได้ยินอวิ๋นชูพูดอยู่เสมอ แคว้นหลีบ้านเมืองอุดมสมบูรณ์กำลังทหารแข็งแกร่งมานานแล้ว จับจ้องแคว้นหลวนแคว้นชื่อสองแคว้นตาเป็นมัน แคว้นหลวนกับแคว้นชื่อมีแต่ต้องร่วมมือกันต่อต้านจึงจะเป็นแผนที่ดี ดังคำพูดที่ว่า ‘เมื่อไม่มีปากฟันย่อมหนาวเหน็บ’ หากแคว้นชื่อล่มสลาย ถัดไปก็คือแคว้นหลวน” แล้วบอกต่อว่า “เดิมทีฝ่าบาทก็ไม่ควรกรีธาทัพไปตะวันออก!”
ต่งกั๋วกงสีหน้าหม่นขรึม กระทั่งสตรีผู้หนึ่งยังเข้าใจเหตุผลนี้ ฮ่องเต้กลับเชื่อฟังคำพูดของแม่ทัพใหญ่กับขันทีวังตะวันตก ดึงดันโดยไม่ฟังเสียงผู้ใด เขาขุนนางคนหนึ่งจะทำอะไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจทางการทหารของเขาถูกช่วงชิงไปนานแล้ว เพียงมีตำแหน่งลอยๆ เท่านั้น
เสียดายความรู้ทั้งด้านบุ๋นและบู๊ที่มีอยู่เต็มท้องของเขาไม่มีที่ให้แสดง ถ้าสามารถเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานกับแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชากองกำลังทหารสิบมณฑลได้ ก็ยังพอจะนับได้ว่าเป็นแผนที่ดีที่จะได้อำนาจทางการทหารกลับมาอีกครั้ง ด้วยจิตใต้สำนึก เขากลับหวังว่าจะสามารถผลักดันให้การแต่งงานในครั้งนี้สำเร็จลงได้ เลี้ยงบุตรสาวไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อแบ่งเบาภาระให้บิดาในช่วงคับขันสำคัญหรอกหรือ
ทว่ายามอยู่ต่อหน้านายหญิงใหญ่ คำพูดนี้เขาก็พูดไม่ออก
“ซูเอ๋อร์ก็เป็นเลือดเนื้อของข้า ข้าเองก็ปวดใจเช่นกัน จนใจที่อำนาจของแม่ทัพสวินเหมือนอาทิตย์ยามเที่ยงวันเราไม่อาจล้มเลิกได้!” เขามองนายหญิงใหญ่อย่างเจ็บปวด “ฟูเหรินจะให้จวนกั๋วกงตายไปพร้อมกับซูเอ๋อร์หรือ”
“นายท่านเป็นถึงเจิ้นกั๋วกง แม้แต่เรื่องแต่งงานของบุตรสาวก็ยังไม่อาจจัดการได้หรือ!” สีหน้านายหญิงใหญ่จากขาวเปลี่ยนเป็นแดง “ดินแดนแคว้นหลวนแห่งนี้ บรรพบุรุษของเราก็มีคุณูปการอยู่ครึ่งหนึ่ง บรรดาศักดิ์เจิ้นกั๋วกง ปฐมฮ่องเต้ทรงเป็นผู้แต่งตั้ง ให้สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อไปทุกชั่วคน บรรพบุรุษไม่อยู่แล้ว ท่านถูกตัดอำนาจทางการทหารไม่พูดถึง แม้แต่บุตรสาวยังถูกคนบังคับให้แต่งงาน เจิ้นกั๋วกงผู้องอาจผ่าเผยถึงกับถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเพียงนี้ สวรรค์ช่างไร้ดวงตา!”
น้ำเสียงนายหญิงใหญ่ทดท้อเยียบเย็น ความไม่พอใจในราชสำนักลึกซึ้งเหนือคำพูดที่เอ่ยออกมา ต่งกั๋วกงสีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึง รีบขยับนั่งตัวตรง กวาดตามองไปรอบด้านด้วยความตึงเครียด กล่าวอย่างไม่พอใจ
“นับแต่โบราณมาขุนนางยึดถือกษัตริย์เป็นขุนนาง อย่าว่าแต่บุตรสาวเลย แม้แต่ชีวิตก็เป็นของฝ่าบาท จะทำผิดหลักปฏิบัติได้อย่างไร เรื่องนี้ฟูเหรินเลิกพูดถึงเถอะ หากแพร่งพรายออกไปจะต้องประสบหายนะกันทั้งครอบครัว!”
ในใจยังคงแค้นเคืองยิ่ง แต่นายหญิงใหญ่ก็รู้ถึงหลักปฏิบัติและจริยธรรมระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง บุตรและบิดา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจฝ่าฝืนได้ เห็นต่งกั๋วกงบันดาลโทสะก็ไม่กล้าพูดอีก
ผ่านไปพักใหญ่ต่งกั๋วกงก็เอ่ยคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใสใจจริงและแฝงความหมายลึกซึ้ง
“ฟูเหรินวางใจ ซูเอ๋อร์มีบุญวาสนา ไม่แน่ว่าจะอาภัพเหมือนอวิ๋นชู” แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ถ้าสวินเหลียนสามารถสร้างความดีความชอบทางการทหารได้ ซูเอ๋อร์ก็จะพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย ไยมิใช่เป็นเรื่องดี” แล้วทอดถอนใจพลางเอ่ยต่อ “ฟูเหรินลองไตร่ตรองให้ดี การแต่งงานครั้งนี้แม่ทัพใหญ่ไม่ยกเลิก เราก็ยกเลิกไม่ได้ แต่ถ้าเขายกเลิกการแต่งงานจริง ชื่อเสียงไม่ดีงามของซูเอ๋อร์ถูกเล่าลือออกไป ในเมืองหลวนเฉิงยังจะมีใครกล้ามาสู่ขออีก”
“เรื่องนี้…”
เรื่องนี้นายหญิงใหญ่ไม่ได้นึกถึงมาก่อน อดตะลึงงันไปไม่ได้ จากนั้นน้ำตาก็พร่างพรมลงมาดุจสายฝน