“นางแต่งเข้ามาได้สามวัน อ้ายเอ๋อร์ก็…เดิมพวกเราก็เป็นฝ่ายทำให้นางไม่ได้รับความเป็นธรรม”
“ตามกฎระเบียบที่บรรพบุรุษวางไว้ ไหนเลยจะอนุญาตให้อิสตรีเข้าออกสถานที่เช่นนั้น เข้าร่วมการชุมนุมกวี ท่านดูเวลานี้สิ บุรุษสตรีต่างเข้าไปรวมตัวอยู่ด้วยกันท่องบทกวีเขียนกลอน นี่มันธรรมเนียมปฏิบัติอะไร เรื่องเสื่อมเสียขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอันดีงามเหล่านั้นใช่เกิดขึ้นน้อยเสียเมื่อไร”
หน้าประตูเรือนแม่ม่ายมีเรื่องติฉินนินทามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวนอวิ๋นชูเป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคที่คนนับหมื่นต่างเลื่อมใสศรัทธา! น้ำเสียงของนายหญิงใหญ่พลันเหน็บแนมเจ็บแสบขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลืมไปแล้วว่าสี่เหมยสี่หลันยังยืนอยู่ที่นี่
ประเพณีโบราณเน้นหนักเรื่องชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกัน ปัญหานอกบ้านในบ้านแยกกันจัดการ ทั้งเรียกร้องให้สตรีไม่สอดส่องออกไปนอกกำแพง ไม่ออกจากเรือน แต่ฮ่องเต้ของแคว้นหลวนแต่ละยุคที่ผ่านมาต่างเลื่อมใสและส่งเสริมเรื่องความรู้และการศึกษา โดยเฉพาะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันโปรดปรานสตรีที่สามารถท่องบทกวีเขียนกลอนได้ อยู่ในตำหนักฝ่ายในก็จะจัดงานชุมนุมดอกท้อ งานเลี้ยงดอกโบตั๋นอะไรกับเหล่าสนมชายาอยู่เสมอ ขอเพียงดอกไม้อะไรในอุทยานหลวงผลิบานหรือร่วงโรย ก็จะเอามาเป็นหัวข้อในการแต่งบทกวี บางทีก็ชื่นชม บางทีก็ไว้อาลัย สนุกสนานครึกครื้นกันพักหนึ่ง บรรดาสนมชายาที่ถึงพร้อมทั้งรูปโฉมและสติปัญญาย่อมได้รับความโปรดปรานเป็นเท่าทวีคูณ ได้รับพระราชทานรางวัลมากมาย นานวันเข้าในหมู่ราษฎรก็พากันเอาอย่าง ฮ่องเต้โม่ตี้จึงถือโอกาสนี้อนุญาตให้สตรีชาวบ้านคลุมหน้าเข้าออกสถานที่ชุมนุมกวี เข้าร่วมการชุมนุมกวีได้
ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีสองด้าน การที่บุรุษสตรีต่างเข้าไปคลุกคลีอยู่ด้วยกัน นานวันเข้าย่อมเกิดความสนิทสนมใกล้ชิด ครั้นแล้วนับแต่ข้อบัญญัตินี้ได้รับการยกเลิก ไม่เพียงผู้มีอำนาจยศตำแหน่ง กระทั่งครอบครัวที่มีเงินก็มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นทุกปี กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังอาหารช่วงดื่มน้ำชาของผู้คน และด้วยเหตุนี้เอง สตรีไปร่วมการชุมนุมแม้ราชสำนักจะอนุญาต แต่ยังคงเป็นที่เหยียดหยามของคนส่วนใหญ่ นายหญิงใหญ่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตามความเห็นของต่งกั๋วกงก็เป็นเช่นนั้น นับแต่โบราณหลักปฏิบัติได้กำหนดไว้แล้ว สตรีควรอยู่ในห้องหับ ช่วยเหลือสามีอบรมเลี้ยงดูบุตร แต่หลวนอวิ๋นชูแตกต่างจากคนอื่น นางมีความเฉลียวฉลาด มีสติปัญญาปราดเปรื่องเหนือผู้คน คล้ายได้กลายเป็นแบบอย่างที่ปัญญาชนของแคว้นหลวนคอยไล่ตามสรรเสริญเยินยอไปแล้ว และด้วยเหตุนี้เอง รู้ทั้งรู้ว่าชีวิตของต่งอ้ายเหลืออีกไม่นานแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าก่อนออกเรือนนางกับลู่เซวียนแห่งกองอาลักษณ์มีความสนิทสนมส่วนตัวต่อกัน เขาก็ยังคงแต่งนางเข้าจวนกั๋วกง ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด เพียงเพื่ออยากใช้นางดึงดูดบุคคลที่มีความสามารถเข้ามา
ถ้าเก็บนางไว้แต่ในจวน แล้วจะดึงดูดบุคคลที่มีความสามารถของเมืองหลวนเฉิงมาเข้าร่วมเป็นพรรคพวกกับเขาได้อย่างไร แล้วที่เขาทุ่มเทความคิดแทบล้มประดาตายแต่งหลวนอวิ๋นชูเข้ามายังจะมีประโยชน์ใดอีก
“ความห่วงกังวลของฟูเหรินข้าเข้าใจ” เห็นนายหญิงใหญ่เคร่งเครียด ต่งกั๋วกงก็โบกมือให้สี่เหมยสี่หลันออกไป “ราชสำนักในเวลานี้บุ๋นควบคุมบู๊ ข้าเป็นทหารนายหนึ่ง แสดงข้อคิดเห็นทางด้านการเมืองไม่ได้รับความสนใจก็แล้วไปเถิด แม้ข้าจะเปิดประตูจวนออกกว้าง เปิดรับบุคคลที่มีสติปัญญาความสามารถ แต่ที่ยอมมาล้วนเป็นพวกห้าวหาญมีพละกำลัง อวิ๋นชูเป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค เป็นคนสำคัญในหมู่ปัญญาชน ถ้านางสามารถดึงดูดปัญญาชนเหล่านั้นมาได้ ทำให้ข้าได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทอีกครั้ง ทำให้ความมุ่งมาดปรารถนาที่จะตอบแทนบ้านเมืองของข้าได้เป็นจริง ข้าย่อมปรารถนาเป็นที่สุดอยู่แล้ว”
“เมื่อก่อนก็ไม่ใช่มีปัญญาชนมาเข้าเป็นพวกหรือ” หลังจากสงบนิ่งลงน้ำเสียงของนายหญิงใหญ่ก็ผ่อนคลายลง นางมองต่งกั๋วกงนิ่ง “เป็นเพราะเจียงเสียน เขาเป็นขุนนางทรยศ ทั้งหลงระเริง ไม่มีอะไรจะมาบังคับควบคุมได้ ปัญญาชนต่างรังเกียจที่จะเข้าร่วมเป็นพวกเดียวกัน ต่างกลัวจะพลอยทำให้ชื่อเสียงเสียหาย จึงได้ไม่เข้ามาใกล้ชิดท่าน ถ้านายท่านคิดจะดึงปัญญาชนมาเป็นพวกจริง ไยต้องพึ่งอวิ๋นชู เพียงขับเจียงเสียนออกไปก็พอ”