“นายหญิงใหญ่สั่งสอนได้ถูกต้อง สะใภ้รู้ตัวว่าผิดแล้วเจ้าค่ะ”
“นี่ข้าไม่ให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหรือ”
“สะใภ้ไม่กล้า เพียงแต่เรื่องในวันนี้ เดิมสะใภ้สี่…”
เดิมสะใภ้สี่เป็นคนพูดจาไม่ดีก่อน ข้าถึงได้โมโห
พูดออกมาได้ครึ่งหนึ่งก็นึกได้ว่าเรื่องนี้นางเป็นคนเริ่มก่อน ว่ากันถึงที่สุดต้องโทษปากของนางเอง ยามกะทันหันจึงชะงักค้างอยู่อย่างนั้น ไม่รู้คำร้องเรียนนี้จะฟ้องอย่างไร ได้แต่มองจ้องหลวนอวิ๋นชูอย่างดุดัน
“ล้วนเป็นเพราะสะใภ้ไม่ดี” หลวนอวิ๋นชูเองก็หยาดน้ำตาวาววับอยู่ในดวงตาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “สะใภ้เป็นคนอัปมงคล ขอท่านป้าได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา ให้สะใภ้กลับไปครองพรหมจรรย์ที่บ้านเดิม จะได้ไม่นำ…”
นี่ไม่ใช่เล่นงานข้าถึงตายหรือ!
เล่าลือกันไปทั่วว่าก่อนแต่งงานหลวนอวิ๋นชูกับลู่เซวียนมีความสนิทสนมใกล้ชิดกัน หลังแต่งงานวันที่สองต่งอ้ายก็โกรธจนกระอักโลหิต วันที่สามดวงวิญญาณก็ไปสู่ยมโลก ต่างบอกว่าเป็นเพราะถูกดวงของนางข่ม บางทีนายหญิงใหญ่อาจจะอยากขับหลวนอวิ๋นชูออกจากจวนนานแล้ว เพียงติดอยู่ที่หน้าตาของมารดานาง ทั้งไม่มีข้ออ้าง เกิดนายหญิงใหญ่ยืมเนินลงจากหลังลาจริง เห็นดีให้หลวนอวิ๋นชูกลับไปบ้านเดิม ไม่พูดถึงทำให้จวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงเดือดดาล ด้วยอำนาจของหลวนอวิ๋นชูที่มีอยู่ในหมู่ปัญญาชนในเมืองหลวนเฉิง เกรงว่าคงจะพากันลุกฮือขึ้นมาโจมตี เช่นนั้นตนเองย่อมมีชื่อเสียงเหม็นฉาวโฉ่ไปไกลแล้ว
“ขอนายท่าน นายหญิงใหญ่ตรวจสอบให้แน่ชัด” ไม่รอให้หลวนอวิ๋นชูพูดจบ พานหมิ่นก็คุกเข่าลงไป “สะใภ้สี่ใส่ร้ายสะใภ้ สะใภ้ไม่ได้…”
คำพูดที่ว่า ‘จะได้ไม่นำโชคร้ายมาสู่จวนกั๋วกง’ ค้างติดอยู่ในลำคอ หลวนอวิ๋นชูมองพานหมิ่นอย่างงงงัน นางไม่ได้จะกลั่นแกล้งพานหมิ่น เพียงแต่คาดเดาว่านายหญิงใหญ่กับต่งกั๋วกงจะต้องได้ยินพานหมิ่นด่าว่านางเป็นดาวหายนะถึงได้พูดเช่นนี้ ประการแรกเพื่อหยั่งเชิงดูท่าทีของต่งกั๋วกงกับนายหญิงใหญ่ที่มีต่อคำพูดนี้ ประการที่สองเพราะอยากกลับไปจวนสกุลหลวนจริง บางทีกิ่งหลิวที่ปักส่งเดชอาจให้ร่มเงาก็ได้
เห็นพานหมิ่นที่ปากร้ายไร้เหตุผลตกใจจนเป็นเช่นนี้ หลังจากหายตะลึงงันก็แอบนึกขัน พานหมิ่นผู้นี้ก็มีเวลาที่รู้จักกลัวเหมือนกัน!
ข้าไม่ได้คิดไปไกลถึงเพียงนั้นเสียหน่อย
“เงียบปากกันให้หมด!” ต่งกั๋วกงสีหน้าเขียวคล้ำ “ตั้งแต่เช้าเลย ดูพวกเจ้าซิ ท่าทางเหมือนอะไรแล้ว!”
“ล้วนเป็นเพราะผู้น้อยไม่ดีเอง” เฉียนอี๋ไท่คุกเข่าตึงลงไป “นายท่านขัดใจก็ลงโทษผู้น้อยเถิด อย่าโกรธจนเสียสุขภาพ”
เฉียนอี๋ไท่เป็นสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงาน หลังจากมีต่งเหรินแล้วจึงได้เลื่อนขึ้นเป็นอี๋เหนียง ปกติทำอะไรต้องดูสีหน้านายหญิงใหญ่ ต่งอ้ายไม่อยู่แล้ว เมื่อเปรียบดูแล้วนายหญิงใหญ่ย่อมรู้สึกใกล้ชิดกับต่งเหรินที่สุด เดิมเข้าใจว่าในที่สุดนางก็อดทนจนได้ลืมตาอ้าปากแล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับมาเจอลูกสะใภ้ที่ไม่เอาการเอางาน ปกติฐานะก็ต่ำกว่าผู้อื่นครึ่งศีรษะแล้ว เฉียนอี๋ไท่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ
ยืนอยู่ริมแม่น้ำมองฝั่งตรงข้ามไฟไหม้ จงอี๋ไท่มารดาของคุณชายหกคุณชายเจ็ดกลับเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาจางๆ สาวใช้หญิงรับใช้สูงวัยที่อยู่บนพื้นกลับปิดปากเงียบดุจจักจั่นที่กลัวความหนาว