ตอนนั้นจัดงานมงคลเพื่อแก้ดวงให้ต่งอ้าย เป็นนายหญิงใหญ่คว้าฟางเส้นสุดท้ายเพื่อช่วยชีวิตต่งอ้าย คิดไม่ถึงว่าจะแต่งคนที่เป็นยันต์เร่งเอาชีวิตเข้ามา ทำลายความหวังทั้งหมดของนาง ถึงแม้หลวนอวิ๋นชูจะเฉลียวฉลาดไปทุกเรื่อง ใช้ประโยชน์จากนางได้มากมาย แต่ได้ยินคำพูดของพานหมิ่นที่มาเข้าหูก็อดไม่ได้ที่นางจะคิดไปทางนั้น ในใจรู้สึกอึดอัดคับข้อง แต่นางก็เข้าใจว่าเหตุใดต่งกั๋วกงจึงเกิดโทสะ
หลวนอวิ๋นชูไม่อาจถูกขับให้กลับไปบ้านเดิมอย่างเด็ดขาด!
มองสีหน้าที่แตกต่างกันไปของอี๋ไท่ไท่แต่ละคน ความคิดหมุนวนไปมา นายหญิงใหญ่ตัดสินใจไกล่เกลี่ยให้เรื่องราวสงบลง
“ลุกขึ้นมาให้หมด เช้าๆ เช่นนี้ก็มาคุกเข่ากัน ทำให้คนเห็นแล้วจิตใจขุ่นมัว”
เรื่องวุ่นวายสงบลง นายหญิงใหญ่มองหลวนอวิ๋นชูแล้วเปลี่ยนเรื่องถาม
“เรื่องของซิ่วเอ๋อร์จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
“เรียนท่านป้า จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เห็นนายหญิงใหญ่ผงกศีรษะ หลวนอวิ๋นชูก็เอ่ยเสริมขึ้น “น้าชายห่างๆ ของซิ่วเอ๋อร์มาแล้ว สะใภ้ทำตามที่นายท่านสั่ง ให้ค่าทำศพไปหนึ่งร้อยตำลึง ให้เขารับคนกลับไป”
หนึ่งร้อยตำลึง?
สะใภ้จอมล้างผลาญผู้นี้!
ถ้ารู้แต่แรกว่านางทำงานไว้ใจไม่ได้เช่นนี้ ให้เหยาหลันไปจัดการเสียก็ดี มีเงินก็ไม่อาจใช้สิ้นเปลืองเช่นนี้! ปกติครอบครัวที่มีกันอยู่สามคน เงินห้าตำลึงก็เพียงพอให้ใช้ไปได้หนึ่งปีแล้ว สาวใช้รุ่นเล็กคนหนึ่งยี่สิบสามสิบตำลึงก็นับว่าเมตตากรุณามากแล้ว ในจวนมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ เหตุใดหลวนอวิ๋นชูจึงไม่ตรวจสอบดู บ่าวไพร่ที่เรือนนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยเตือน ดูท่าคงต้องรีบเปลี่ยนตัวบ่าวไพร่เสียแล้ว
อยากจะตักเตือนและตำหนิสักสองคำ แต่นี่เป็นคำสั่งของต่งกั๋วกงจริง เพียงบอกให้ส่งศพออกไปให้ดี ไม่ได้บอกให้เงินเท่าไร ย่อมไม่อาจตบหน้าเขาต่อหน้าผู้คน นายหญิงใหญ่สีหน้าแปรเปลี่ยนแล้วแปรเปลี่ยนอีก ในที่สุดคำพูดตำหนิก็ไม่ได้พูดออกจากปาก
แม้แต่หญิงรับใช้สูงวัยที่นั่งอยู่ที่พื้นยังมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความตื่นตะลึง สมกับเป็นคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์ ไม่รู้ว่าฟืนข้าวสารน้ำมันเกลือแพง มีใครเขาใช้เงินเช่นนี้กัน นี่ไม่ต่างอะไรกับการโยนเงินไปบนท้องถนน!
เหยาหลันแววตามีประกายยินดีในความโชคร้ายของคนอื่นพาดผ่านจางๆ ไม่พูดอะไร เพียงมองว่านายหญิงใหญ่จะจัดการลงโทษอย่างไร แม่นมของนายหญิงใหญ่ตาย ให้เงินไปเจ็ดสิบตำลึงนับเป็นเงินที่สูงที่สุดในจวนแล้ว บัณฑิตหญิงผู้นี้กลับดียิ่ง หยิบเงินออกมาทีก็หนึ่งร้อยตำลึง เพียงพอให้ครอบครัวเล็กในที่ห่างไกลสร้างบ้านเรือน ซื้อที่ดินดีๆ สักหลายผืนอยู่อย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตได้แล้ว เข้าใจว่าเงินของจวนกั๋วกงมีลมพัดหอบมาให้หรืออย่างไร
เฉาเสวี่ยไม่ได้ดูแลเรือนย่อมไม่เป็นห่วงเรื่องนี้ กลับเป็นพานหมิ่นที่มาจากครอบครัวพ่อค้า ทุกเรื่องล้วนคิดคำนวณเข้าไปในกระดูก พอได้ยินคำพูดดังกล่าวก็แทบจะพ่นสิ่งที่อยู่ในปากออกมา
หนึ่งร้อยตำลึง?
เท่ากับเงินรายเดือนหนึ่งปีของสาวใช้รุ่นใหญ่ห้าคน ซื้อสาวใช้รุ่นเล็กได้เจ็ดแปดคน นางขยับปากแล้วขยับปากอีก เพียงเพราะเพิ่งถูกตำหนิมาจึงไม่กล้าแย้ง ได้แต่เบิกตารูปเมล็ดซิ่งมองหลวนอวิ๋นชูอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
ชีวิตคนไม่อาจตีมูลค่า ตามความคิดของหลวนอวิ๋นชู จวนกั๋วกงไม่ขาดแคลนเงินทอง ต่งกั๋วกงก็บอกให้ใช้จ่ายได้ตามสบาย ถ้าบิดามารดาของซิ่วเอ๋อร์ยังอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้สองร้อยตำลึง อย่างน้อยก็เพียงพอให้พวกเขาเลี้ยงดูตนเองยามแก่เฒ่า แต่เมื่อนึกถึงว่าซิ่วเอ๋อร์กับน้าชายห่างๆ ของนางแต่ไรมาไม่เคยไปมาหาสู่กัน จึงได้ให้ไปหนึ่งร้อยตำลึง
จะอย่างไรก็มีช่องว่างระหว่างกันอยู่พันปี ในเวลาอันสั้นหลวนอวิ๋นชูยังไม่อาจเข้าใจถึงความคิดของคนเหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ เวลานี้เห็นพวกนางมองตนเหมือนมองมนุษย์ต่างดาว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียดายเงิน หลวนอวิ๋นชูยังเข้าใจว่าเป็นเพราะตำหนินางว่าเชื่อคนนอกง่ายเกินไปจึงเอ่ยเสริมขึ้น
“ท่านป้าวางใจ สะใภ้เห็นน้าชายของซิ่วเอ๋อร์เป็นคนซื่อๆ คนหนึ่ง ยังขอบอกขอบใจเราใหญ่โต เชื่อฟังถ้อยคำและจะนำไปปฏิบัติตาม ไม่กล้าเอาเงินไปใช้จ่ายส่งเดช สะใภ้ได้กำชับให้เฉียนหมัวมัวตามไปจับตาดูเขาซื้อโลงและจัดงานศพให้ซิ่วเอ๋อร์อย่างดีที่สุด เรื่องนี้ไม่ผิดพลาดแน่”
ไม่ใช่ตัวโง่งม ใครได้เงินหนึ่งร้อยตำลึงย่อมต้องขอบอกขอบใจเสียใหญ่โตอยู่แล้ว โลงศพของสาวใช้คนหนึ่งต่อให้ดีเพียงใดก็แค่ไม่กี่ตำลึง แต่งบทกวีมากเกินไปจนสมองกลายเป็นแป้งเปียกไปแล้วจริงๆ!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 04 ก.ค. 64 เวลา 12.00 น.