ครั้งนี้แม้แต่หลวนอวิ๋นชูก็ตะลึงงันแล้ว เขย่าร่างฝูหรงที่แข็งทื่อราวกับเป็นไก่ไม้ไป ถามด้วยความร้อนรน
“คุณชายสามว่ายน้ำไม่เป็นหรือ”
อยู่ติดกับทะเลสาบขนาดใหญ่เพียงนี้ หลวนอวิ๋นชูเข้าใจว่าต่งเหรินต้องว่ายน้ำเป็นอย่างแน่นอน
ฝูหรงตกใจจนพูดอะไรไม่ออกไปนานแล้ว นางเอาแต่สั่นหัว ไม่รู้จะบอกว่าไม่รู้หรือเขาว่ายน้ำไม่เป็นกันแน่ หลวนอวิ๋นชูเหงื่อเย็นท่วมร่างทันที
คิดจะสั่งสอนต่งเหรินเล็กๆ น้อยๆ เป็นการลงโทษ ให้เขาดื่มน้ำในทะเลสาบสักหลายอึกหน่อยก็ไม่เลว แต่ถ้าเกิดเรื่องถึงชีวิตขึ้นมาจริง ย่อมเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ขณะทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นต่งเหรินก็โผล่ศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง สองมือเที่ยวไขว่คว้าไปทั่ว
“ช่วยด้วย!”
หลวนอวิ๋นชูหายใจเข้าลึกๆ ดึงฝูหรงแล้วออกเดิน “รีบไป”
“คุณชายสามยังอยู่ในน้ำนะเจ้าคะ!” ฝูหรงดึงหลวนอวิ๋นชูไว้ “พวกเราจากไปทั้งอย่างนี้…จะได้อย่างไร”
“เจ้าว่ายน้ำเป็นหรือ”
ฝูหรงสั่นศีรษะ “บ่าวว่ายน้ำไม่เป็น”
“แล้วยังไม่รีบไป”
“แต่…” สีหน้าเปลี่ยนจากขาวเป็นแดง เสียงของฝูหรงสั่นเล็กน้อย “ถ้าคุณชายสามจมน้ำตาย พวกเราก็ไม่อาจสลัดหลุดจากความรับผิดชอบไปได้นะเจ้าคะ”
เหตุใดสะใภ้สี่ของข้าจู่ๆ จึงเปลี่ยนเป็นคนเย็นชาเช่นนี้ ถึงกับเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย
คุณชายสามจะเหลวไหลเพียงใด แต่ก็เป็นชีวิตหนึ่ง!
“ข้าก็ว่ายน้ำไม่เป็น เราอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้!” หลวนอวิ๋นชูอธิบาย “ดูจากท่าทางเขาคงยังไม่จมน้ำตายในเวลาอันสั้นแน่ พวกเรารีบไปจากที่นี่ ค่อยหาคน…”
ขณะพูดอยู่นั้นหลวนอวิ๋นชูร่างพลันแข็งค้าง รับรู้ได้ว่าที่ด้านหลังมีสายตาคมกริบคู่หนึ่งพุ่งตรงมา นางหันขวับไป
ท่ามกลางสายลมบางเบาเห็นเพียงเงาต้นไม้ส่งเสียงสวบสาบ ไหนเลยจะมีเงาร่างคนอยู่
เงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่งกลับไม่พบอะไรผิดปกติ คิดว่านางคงตื่นตระหนกมากไป
หลวนอวิ๋นชูหันหน้าไป มีเงาร่างหลายสายวิ่งมาจากที่ไกลๆ คงได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของต่งเหริน นางจึงไม่กล้าโอ้เอ้อีก ดึงฝูหรงแล้วออกเดินทันที
ที่ด้านหลังภูเขาจำลองมีเงาร่างสูงใหญ่ตระหง่านร่างหนึ่งปรากฏออกมา มองตามหลังพวกนางไปคล้ายคิดอะไรในใจ มุมปากมีรอยยิ้มประดับจางๆ
ได้ยินเสียงกระโดดน้ำ หัวใจทั้งดวงของหลวนอวิ๋นชูก็เบาลง ขณะเดียวกันก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น นางเชื่อในสายตาของตน ถ้านางเพียงเห็นเงาร่าง ผู้มาไม่มีทางเห็นนางกับฝูหรงแน่นอน และเชื่อว่าต่งเหรินเองก็ไม่กล้าพูดเรื่องรังนกออกมาง่ายๆ
ขอเพียงตอนนี้นางไม่ถูกคนพบเห็นก็ไม่มีเรื่องแล้ว
หลวนอวิ๋นชูเดินลัดเลาะผ่านไปในเงาไม้ตามแนวกำแพงที่ล้อมอยู่ ไม่สนใจว่าไปไหน ต้องหาประตูสักบานรีบออกไปให้พ้นสถานที่เกิดเหตุนี้ก่อน
ฝูหรงที่ไม่เคยทำเรื่องใหญ่โตสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วพื้นปฐพีเช่นนี้มาก่อน ได้แต่เอามือกุมหน้าอก พูดพึมพำราวกับสวดมนต์ “สวรรค์ได้โปรดคุ้มครอง อย่าให้พบเจอใคร อย่าให้พบเจอใครเป็นอันขาด”
ไหนเลยจะรู้ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งเจอสิ่งนั้น ขณะบ่นพึมพำอยู่นั้นฝูหรงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นตรงประตูวงเดือนที่อยู่ด้านหน้ามีเงาร่างหลายสายผลุบเข้ามา นางจึงรีบหยุดฝีเท้าทันที สีหน้าซีดเผือด สองขาอ่อนยวบ แทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น แต่ถูกหลวนอวิ๋นชูประคองไว้แน่น
เพ่งมองไปอย่างละเอียด ที่แท้ก็เป็นสี่จวี๋กลับมาแล้ว ด้านหลังมีสาวใช้รุ่นเล็กตามมาด้วยสองคน แต่ละคนถือถาดเงินมาใบหนึ่ง ถาดหนึ่งวางชุดน้ำชาที่ประณีตงดงาม อีกถาดหนึ่งเป็นของว่างหลากสี
เห็นพวกนางเดินมาสี่จวี๋ก็ดูงงงัน ยอบตัวลงเล็กน้อย
“น้ำชามาแล้วเจ้าค่ะ สะใภ้สี่จะไปไหนหรือ”
ฝูหรงเนื้อตัวสั่นเทา ยืนอยู่ที่นั่นราวโง่งมไปแล้ว
“รออยู่ตั้งนาน เหตุใดเพิ่งมาถึง” หลวนอวิ๋นชูแอบกระตุกแขนฝูหรง แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “เจ้าดูดวงตะวันสิ เที่ยงวันเลยนะ”
“เดิม…”
เดิมทีก็เที่ยงวันอยู่แล้ว!