ทะเลสาบกว้างเพียงนี้ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ต้องเดินอยู่พักใหญ่ อย่าว่าแต่ต้องจัดเตรียมน้ำชาเลย
สี่จวี๋ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของคนทั้งสอง เห็นหลวนอวิ๋นชูพอเจอหน้าก็บ่นว่าใส่นางทันที สี่จวี๋ขอบตาแดงเรื่อ น้ำตาไหลพรากๆ ลงมา นางเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่รับใช้ใกล้ชิดนายหญิงใหญ่ เคยทำงานลำบากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
สาวใช้รุ่นเล็กสองคนก็ชูถาดเงินขึ้นสูงแล้วคุกเข่าทั้งสองลง
หลวนอวิ๋นชูขมวดคิ้ว นางส่งเสียงขู่ขวัญไปก่อน ด้วยคิดจะเบี่ยงเบนความสนใจ คิดไม่ถึงว่าเพียงคำพูดประโยคเดียวก็ทำเอา ‘ผู้คุมชั้นยอด’ ร้องไห้เสียแล้ว
“เอาล่ะๆ ก็แค่บ่นไปเล็กน้อย ดูเจ้าสิ น้อยอกน้อยใจเสียมากมาย ใครไม่รู้ยังเข้าใจว่าข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโหดร้ายทารุณ หากเรื่องไปถึงหูนายหญิงใหญ่ ไยไม่ใช่…”
“บ่าวไม่กล้าน้อยใจเจ้าค่ะ” พูดยังไม่ทันจบสี่จวี๋ก็คุกเข่าลงไปแล้ว “ขอสะใภ้สี่ได้โปรดอย่าพูดเช่นนี้!”
นี่ใช่บ่าวที่ไหน ยังร้ายกาจกว่าเจ้านายเสียอีก กระทั่งคำพูดก็ไม่ให้คนพูดแล้ว!
คำพูดถูกสี่จวี๋ตัดบท หลวนอวิ๋นชูก็มีโทสะแล้ว อยากจะทิ้งนางไว้ที่นี่ยิ่งนัก นางสมัครใจจะคุกเข่า ก็คุกเข่าเสียให้พอ แต่ได้ยินเสียงดังจากทางด้านหลังมากขึ้นทุกทีก็รู้สึกใจฝ่อ หลวนอวิ๋นชูจึงเดินเข้าไปดึงสี่จวี๋ขึ้นมา ยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้จริงจัง เจ้าเพิ่งมาอยู่ปรนนิบัติข้า วันเวลายังอีกยาวนาน ถ้าเอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่องคงไม่ไหว” แล้วหันไปทางสาวใช้รุ่นเล็กสองคน “ดวงตะวันร้อนแรงเพียงนี้ อย่ามาคุกเข่าอยู่ที่นี่เลย ลุกขึ้นมาเถิด”
พูดจบนางก็ไม่พูดอะไรอีก เดินลิ่วตรงไปที่ประตูวงเดือน นางจะต้องไปจากที่นี่ในทันที
“สะใภ้สี่ไม่กลับเรือนลู่ย่วนหรือ” สี่จวี๋ถามด้วยความฉงน “ท่านจะไปที่ใดหรือ”
หลวนอวิ๋นชูไม่ตอบ เดินตรงออกนอกประตูวงเดือนไป พอเงยหน้าขึ้น ทางด้านขวาเป็นผนังฉากกั้นขนาดใหญ่ แกะลวดลายเป็นภาพการทำสงครามผืนใหญ่ นางไม่มีแก่ใจจะมาพิจารณาดูอย่างละเอียด หลวนอวิ๋นชูหันหน้าไป ด้านซ้ายกลับเห็นเป็นพุ่มไม้เตี้ยผืนหนึ่ง ด้านในคล้ายมีศาลารับลมเล็กๆ หลังหนึ่ง เงียบสงบยิ่ง ตรงกลางมีทางเดินคดเคี้ยวเล็กๆ สายหนึ่งปูด้วยศิลาเขียว ไม่รู้ไปถึงที่ไหน
“ที่นี่คือที่ใด”
“สะใภ้สี่จำไม่ได้แล้วจริงๆ” สี่จวี๋กล่าวยิ้มๆ “ข้างหน้าไม่ไกลนักมีปากทางแยกอยู่ ไปทางขวาเป็นโถงรับแขกภายนอก ไปทางซ้ายก็เป็นเรือนด้านในแล้ว”
“อ้อ…ข้าจำไม่ได้แล้ว”
“จริงสิ สะใภ้สี่มาทำอะไรที่นี่” พลันนึกอะไรขึ้นได้ สี่จวี๋ถามต่อ “บ่าวเหมือนได้ยินเสียงดังแว่วมาจากข้างใน ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ขณะกำลังครุ่นคิดก็ได้ยินฝูหรงเอ่ยขึ้น
“สะใภ้สี่รอจะกลับไปจนร้อนใจแล้ว แต่ก็ห่วงว่าเจ้ากลับมาจะไม่เจอใคร ถึงได้เดินมารอเจ้าอยู่แถวนี้”
ไม่เลว เด็กคนนี้เฉลียวฉลาดคู่ควรแก่การบ่มเพาะ
หลวนอวิ๋นชูหยักโค้งมุมปากเป็นการชมเชยฝูหรง
สี่จวี๋เองก็รู้สึกดีใจขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ ยิ้มแย้มหน้าบาน
“ขอบคุณสะใภ้สี่ที่เป็นห่วง เฝ้านึกถึงบ่าวไปเสียทุกอย่าง ข้างหน้าคือเรือนไหวหรู”
“เรือนไหวหรู? ความหมายเพื่อจะระลึกถึงบัณฑิตที่ใดหรือ…”
จวนกั๋วกงแตกต่างจากที่อื่น ที่นี่ไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงต่อท่วงทำนองด้านการใช้ภาษาและตัวอักษรของแคว้นหลวน ไม่เพียงคุณชายหลายคนชอบฝึกยุทธ์ แม้แต่ที่ปรึกษาส่วนใหญ่ก็เป็นนักรบ หลวนอวิ๋นชูยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในจวนแห่งนี้เคยเลี้ยงดูหรือเคยเคารพนับถือนักปราชญ์ราชบัณฑิตคนไหน
“สะใภ้สี่เข้าใจผิดแล้ว” สี่จวี๋หัวเราะพรืดออกมา “ไม่ใช่ ‘ไหว’ ที่แปลว่าระลึกถึงเจ้าค่ะ แต่เป็น ‘ไหว’ ที่หมายถึงต้นไหว”
“…”
“เรือนไหวหรูแห่งนี้คือสถานที่ที่คุณชายน้อยทั้งหลายเล่าเรียนหนังสือ ในลานมีต้นไหวเก่าแก่อายุนับร้อยปีอยู่ต้นหนึ่ง ถึงได้ตั้งชื่อว่าเรือนไหวหรู จากต้นอิ๋นซิ่งกลับไปเรือนลู่ย่วนไกลเกินไป เมื่อครู่บ่าวก็มาเอาน้ำชาที่เรือนไหวหรูแห่งนี้”