บทที่เก้า
“คนในครอบครัวซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้เอะอะโวยวายก็ดีแล้ว” นายหญิงใหญ่ฝืนใจควบคุมเสียงให้ราบเรียบแล้วหันไปทางเหยาหลัน “หลันเอ๋อร์อย่าลืมไปบอกห้องบัญชี เมื่อวานที่อวิ๋นชูเบิกเงินไปหนึ่งร้อยตำลึง ให้ลงในบัญชีใหญ่ยี่สิบตำลึง ที่เหลือลงไว้ในบัญชีส่วนตัวของข้า”
กลัวจะเสียธรรมเนียมปฏิบัติ ทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างสะใภ้ด้วยกัน นายหญิงใหญ่ไม่พูดอะไรก็ช่วยรับส่วนที่หลวนอวิ๋นชูเบิกเกินไปเป็นส่วนของตน
เหยาหลันเผยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ต่างก็เป็นสะใภ้เช่นกัน นางมาคารวะพ่อแม่สามีตอนเช้า ปรนนิบัติเข้านอนตอนค่ำ ทำงานตื่นเช้านอนดึกทุกวันก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา หลวนอวิ๋นชูผู้นี้เพิ่งเข้ามาอยู่ไม่กี่วัน ไม่ให้มาคารวะตอนเช้าก็แล้วไปเถิด วันนี้ยังให้เพิ่มสาวใช้ พรุ่งนี้ชดเชยเงินให้ กลัวหลวนอวิ๋นชูจะไม่ได้รับความเป็นธรรม
มองหลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่ง เหยาหลันแอบกัดฟัน กดข่มความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่มีอยู่เต็มอกพลางเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม
“ดูท่านพูดเข้า ยังจะขาดเงินเพียงไม่กี่ตำลึงนี้หรือ น้องสาวก็ไม่ใช่คนนอก จะให้ท่านเป็นคนชดเชยได้อย่างไร ลงบัญชีใหญ่โดยตรงเลยแล้วกัน ไยต้องแบ่งแยกชัดเจนเช่นนั้นด้วย”
“หลันเอ๋อร์ไม่เข้าใจความตั้งใจดีของข้า ไม่ใช่เรื่องเงินมากน้อย แต่ธรรมเนียมปฏิบัติไม่อาจถูกทำลาย หาไม่พรุ่งนี้เรือนเจ้ามีสาวใช้ตายคนก็หนึ่งร้อยตำลึง อีกวันเรือนอื่นมีสาวใช้ตายคนก็อีกหนึ่งร้อยตำลึง…เช่นนี้ก็ไม่จบไม่สิ้นแล้ว” น้ำเสียงเจือการอบรมสั่งสอนเข้ามาหลายส่วน นายหญิงใหญ่มองเหยาหลันอย่างอ่อนโยน “หลันเอ๋อร์ก็ต้องจำไว้ ครอบครัวใหญ่กิจการใหญ่ พวกเจ้าพี่สะใภ้น้องสะใภ้หลายคน ทุกเรื่องไม่ว่าใหญ่ว่าเล็ก ล้วนต้องมีขอบเขต ถ้าไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติก็จะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งฟ้องกันไปมาไม่จบไม่สิ้น”
พูดมาถึงขั้นนี้ทุกคนมีหรือจะไม่เข้าใจ ในใจของแต่ละคนต่างรู้สึกไม่ยุติธรรม แต่ไม่ได้แสดงออกมาบนใบหน้า เว้นแต่พานหมิ่นที่ถลึงตารูปเมล็ดซิ่ง มองหลวนอวิ๋นชูราวกับไก่ชนแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็คล้อยตามด้วยสีหน้ายิ้มๆ บอกนายหญิงใหญ่คิดมากไปแล้ว ที่นี่หลวนอวิ๋นชูอายุน้อยที่สุด ใครจะไปคิดเล็กคิดน้อยเพียงแค่เงินไม่กี่ตำลึงนี้…
นายหญิงใหญ่มองหลวนอวิ๋นชู พลันนึกถึงเรื่องที่เมื่อวานนางไปทะเลสาบลั่วเยี่ยนขึ้นมาได้ ต่งเหรินถูกผีหลอก นางกลับไม่เป็นไรเลย ทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแปลกประหลาด มุมปากขยับไปมา แต่ติดอยู่ที่นายท่านสนับสนุน พานหมิ่นก็อยู่ด้วยจึงกลืนคำพูดกลับลงไป นึกถึงประตูข้างฝั่งตะวันตกขึ้นมาจึงถามเหยาหลัน
“เหตุใดจนป่านนี้แล้วยังไม่ปิดตายประตูนั้นไป”
“เรียนนายหญิงใหญ่ เดิมสะใภ้หาคนมาแล้ว” เหยาหลันตอบ “กำลังจะลงมือ บังเอิญหมอดูหยวนอู่ที่จัดงานศพมาพบเข้าพอดี บอกยังไม่ครบวันไว้ทุกข์ ไม่อาจกระทุ้งพื้น สะใภ้ได้ใส่กุญแจไว้แล้ว ลูกกุญแจให้คนรับผิดชอบดูแลโดยเฉพาะ ทั้งสั่งกำชับไว้ห้ามใครเข้าออก เดิมตั้งใจจะมาเรียนให้ท่านทราบ แต่บังเอิญช่วงหลายวันนั้นมีงานยุ่งมากจึงได้ลืมไป” แล้วบอก “นายหญิงใหญ่ไม่ต้องร้อนใจ ประเดี๋ยวสะใภ้จะไปเอาลูกกุญแจกลับคืนมา เก็บรักษาไว้ที่ท่านนี่ รอคุณชายสี่ครบสี่สิบเก้าวันแล้ว ก็จะให้คนไปปิดตายทันที”
เหยาหลันพูดไปก็มองหลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่ง เห็นนางนั่งสง่าผ่าเผยอยู่ที่นั่น สีหน้าไม่มีร่องรอยความละอายใจแม้แต่น้อยนิด คล้ายเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางอยู่แล้ว เหยาหลันอดหงุดหงิดโมโหไม่ได้ ช่างเป็นจอมก่อเรื่องก่อราว ตกน้ำไปครั้งหนึ่งแล้วยังไม่จดจำ กระทั่งสูญเสียความทรงจำแล้วก็ยังไม่ยอมหยุด ตนต้องถูกตำหนิเพราะนาง นางกลับเฉยเมยเหมือนไม่มีอะไร นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับพระพุทธรูป คอยชมเรื่องสนุก
เอ่ยถึงต่งอ้ายนายหญิงใหญ่ก็เศร้าอาดูรขึ้นมา พูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ต่งกั๋วกงจึงเอ่ยขึ้น
“เมื่อวานเหรินเอ๋อร์เจอผีที่นั่น แม่สามีของเจ้าเป็นห่วงว่าถ้าเข้าออกที่นั่นตามใจชอบอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นอีก จึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ประตูบานนั้นในเมื่อคุณชายสี่ทำไว้ตอนที่มีชีวิตอยู่ ก็ไม่ต้องไปปิดแล้ว ทิ้งไว้เถิด”
เหยาหลันพยักหน้ารับคำ หันกลับมาส่งสายตาให้อิ๋งชุน อิ๋งชุนก็ล่าถอยออกไปเงียบๆ