“ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน เน้นหนักเรื่องความอ่อนโยนดีงามมีคุณธรรม อิสตรีดูแลครอบครัวด้วยความขยันขันแข็ง ประหยัดมัธยัสถ์ จึงจะเป็นรากฐานที่ถูกต้อง บทกวี โคลงกลอนอะไรนั่นล้วนเป็นเรื่องของบุรุษ พวกเราอิสตรีไม่นิยมสิ่งนี้” แล้วมองไปที่คุณชายน้อยทั้งสาม น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นพิเศษ “จะสายแล้ว พวกเจ้ารีบไปเถิด ระวังจะถูกอาจารย์ลงโทษ”
เห็นมารดาคัดค้านต่งเหอก็ไม่กล้าพูดมาก รีบรับคำ แล้วหันมากะพริบๆ ตาอย่างซุกซนให้หลวนอวิ๋นชู กล่าวลานายหญิงใหญ่และทุกคน เดินตามต่งซิ่นต่งอี้ออกไป
ยังคงเป็นท่านป้าที่ดี รู้ว่านางทำสิ่งไร้ประโยชน์เหล่านี้ไม่เป็น ในช่วงคับขันสำคัญช่วยแก้สถานการณ์ให้นาง เห็นคุณชายน้อยหลายคนถูกไล่ไปแล้ว หลวนอวิ๋นชูก็โล่งใจ เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้นายหญิงใหญ่ ขณะจะเอ่ยปากพูดในใจพลันฉุกคิดขึ้นมา…ไม่ถูก!
เหตุใดฟังคำพูดเหล่านี้แล้วรู้สึกขัดหู คล้ายข้างในรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ มองสบตาที่มีประกายเย็นยะเยียบของนายหญิงใหญ่ รอยยิ้มของหลวนอวิ๋นชูก็แข็งค้างอยู่ในส่วนลึกของดวงตา
“อวิ๋นชู ข้ารู้เจ้าชอบแต่งบทกวีท่องโคลงกลอน เป็นถึงบัณฑิตหญิง ฝ่าบาทก็ทรงอนุญาตให้สตรีเข้าร่วมการชุมนุมกวี แต่นั่นเป็นสิ่งที่สตรีที่ยังไม่ออกเรือนทำกัน” จิบน้ำชาคำหนึ่ง นายหญิงใหญ่กล่าวด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจและแฝงความหมายลึกซึ้ง “เจ้าดูเถอะ มีหญิงที่ออกเรือนแล้วไปทำเรื่องพวกนี้ที่ใดกัน ต่างก็ใช้ชีวิตสงบเสงี่ยมอยู่ในบ้านสามี เวลานี้เจ้าครองพรหมจรรย์ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของบรรพบุรุษก็ไม่ควรออกนอกเรือน จะออกไปก็ต้องปิดบังใบหน้าไม่เผยโฉม กลัวเจ้าจะลำบากใจ ข้าจึงปล่อยตามใจเจ้า แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรตัวเจ้าเองก็ต้องรู้การควรไม่ควรจึงจะดี”
ในเมื่อรู้แล้วว่าต่งกั๋วกงจะใช้หลวนอวิ๋นชูเป็นเหยื่อล่อ นางก็ต้องเคาะตีบ่อยๆ ทั้งนี้จะได้ไม่เป็น ‘ปลาตัวนี้ยังไม่ทันตก เหยื่อก็ถูกกินไปก่อนแล้ว’ ไม่เช่นนั้นนางจะไปถามเอาซุ้มประตูสรรเสริญจากใคร
หลวนอวิ๋นชูสีหน้าแข็งกระด้าง นางไม่รู้การควรไม่ควรอย่างไรหรือ ดวงตาข้างไหนของนายหญิงใหญ่ที่มองเห็นหรือ
ส่วนเรื่องทำตัวสงบเสงี่ยมตนเองเพียงใช้สมองคิด ไม่ได้พูดออกมา นายหญิงใหญ่จะรู้ได้อย่างไรว่านางคิดจะแต่งงานใหม่ ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยม
หรือว่านายหญิงใหญ่เป็นเทพเซียน รู้จักการทำนายทายทัก
หางตาเหลือบไปเห็นสี่จวี๋หน้าซีดขาว หลวนอวิ๋นชูฉุกคิดขึ้นมาได้ หรือว่าเรื่องบังเอิญเจอลู่เซวียนถูกนายหญิงใหญ่รู้เข้า
คิดมาถึงตรงนี้ หลวนอวิ๋นชูก็ตกใจจนเหงื่อเย็นออกท่วมตัว กำลังจะยอมรับผิดและขออภัย ก็เห็นสายตายินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นของทุกคน คิดอีกที พวกนางเพียงเจอกันโดยบังเอิญ นางไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ก็ไม่นับว่าทำเรื่องไม่สมควร ถ้าไปรับผิดเข้า ด้วยนิสัยคนเหล่านี้ไม่รู้ลับหลังจะแอบไปจินตนาการเรื่องสกปรกโสมมออกมามากน้อยเพียงใด
เรื่องเช่นนี้นางไม่อาจยอมรับเด็ดขาด หาไม่…ต่อไปไยมิใช่ไม่มีอิสระ!
“ท่านป้า สะใภ้อยู่เป็นม่าย รู้ดีว่าฐานะของตนแตกต่างจากผู้อื่น ทำอะไรก็รอบคอบระมัดระวัง ทุกวันตัวสั่นงันงก คล้ายเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ กลัวมากว่าจะทำผิด ทำให้ท่านต้องขายหน้า สะใภ้ไม่รู้จริงๆ ว่าทำอะไรผิดตรงที่ใด ขอท่านป้าโปรดให้คำสั่งสอนด้วยเจ้าค่ะ”
ทุกคนเผยสีหน้าแตกต่างกันไป ต่างหันมามองหลวนอวิ๋นชูโดยไม่ได้นัดหมาย
คนโบราณให้ความสำคัญกับความกตัญญู ปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี แม่สามีอบรมสั่งสอนต่อหน้าธารกำนัล เจ้าก็ต้องฟัง ไม่ผิดก็ต้องรับผิด ขอให้แม่สามีลงโทษ เปลี่ยนคำพูดใหม่ก็คือต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อการอบรมสั่งสอนของแม่สามี มีความผิดก็ต้องแก้ไข ไม่มีความผิดก็ต้องนำมาตักเตือนตนเองไม่ให้ทำผิด
สมองของบัณฑิตหญิงผู้นี้ใช่ถูกถ้อยคำในบทกวีโคลงกลอนยัดใส่ไว้จนล้น กลายเป็นแป้งเปียกไปแล้วหรือไม่ ถึงกับกล้าตั้งกระทู้ถามแม่สามีต่อหน้าธารกำนัล
เห็นหลวนอวิ๋นชูสีหน้าเต็มไปด้วยการไม่ได้รับความเป็นธรรม นึกถึงความใกล้ชิดเอาใจใส่ของนาง นายหญิงใหญ่ก็ใจอ่อนลงไปหลายส่วน แอบนึกเสียใจที่ตนใช้คำพูดหนักเกินไป ขณะคิดจะกลบเกลื่อนให้ลงเอยด้วยดี หลวนอวิ๋นชูกลับตั้งกระทู้ถามนางต่อหน้าผู้คน ประหนึ่งว่านางที่เป็นเจ้าบ้านฝ่ายหญิงผู้นี้พูดจาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น