หลี่หวาก็ส่งยิ้มประจบ หน้าอกยิ่งยืดตรง
“สะใภ้สี่เชิญนั่ง” พ่อบ้านเฮ่อหันไปทำมือให้ทุกคนเงียบเสียงลง “ท่านดื่มน้ำชาสักหน่อย พักหายใจก่อน แล้วค่อยๆ เลือก”
มองเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในห้องโถงแวบหนึ่ง หลวนอวิ๋นชูไม่ได้เข้าไปนั่งตามที่พ่อบ้านพูด ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่น สายตาระผ่านใบหน้ากลุ่มคนไปทีละคน
เหตุใดจึงรู้สึกคล้ายตกลงไปในรังหมาป่า
รู้สึกเหมือนนางเป็นแพะย่างทั้งตัวตัวหนึ่งที่เพิ่งออกจากเตามาอย่างน่ากิน น้ำมันสีเหลืองทองกำลังหยดติ๋งๆ ทำให้คนน้ำลายสอ ขอเพียงหลี่หวาร้องตะโกนขึ้นคำหนึ่ง นางคงจะถูกรุมฉีกร่างยัดลงท้องไปทันที ยืนอยู่ตรงนั้น มองสบดวงตาสุกใสแวววาวเป็นคู่ๆ หลวนอวิ๋นชูรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาสองที
เป็นครั้งแรกที่ต้องสัมภาษณ์คนมากปานนี้ นางออกจะตื่นเต้นขึ้นมาจริงๆ
“เรียนสะใภ้สี่ สะใภ้ใหญ่สั่งเอาไว้ ในเรือนท่านยังขาดสาวใช้รุ่นใหญ่หนึ่งคน สาวใช้ขั้นสองสี่คน สาวใช้ใช้แรงงานแปดคน หญิงรับใช้สูงวัยหกคน” เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่ดื่มน้ำชา พ่อบ้านเฮ่อจึงเอ่ยขึ้นอย่างเหมาะกับเวลา “สะใภ้ใหญ่ยังบอก ถ้าท่านเห็นว่าบ่าวไพร่ที่มีอยู่แต่เดิมมีคนที่ถูกใจ ก็เลือกให้น้อยลงสักหลายคนก็ได้ขอรับ”
คำพูดนี้ก็พูดได้ถูกต้อง นางกับฝูหรง สี่หลัน สี่จวี๋ล้วนมาอยู่ในเรือนลู่ย่วนทีหลัง ถ้าเปลี่ยนบ่าวไพร่ทั้งหมด ต่อไปถ้าเจอเรื่องอะไรเข้า เกรงว่ากระทั่งคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวก็ยังหาไม่ได้ นึกมาถึงตรงนี้หลวนอวิ๋นชูจึงผงกศีรษะ
“อืม…เฉียนหมัวมัวประสบการณ์มาก คนก็มีความเมตตามีความสัตย์ซื่อ ก็เอานางไว้แล้วกัน ยังมีลู่หมัวมัวที่ทำหน้าที่เก็บกวาดห้องครัวเล็กก็เอาไว้ ครั้งนี้เลือกหญิงรับใช้สูงวัยเพียงสี่คนก็พอ”
“ขอรับ เสร็จจากการนี้แล้วบ่าวจะรายงานให้สะใภ้ใหญ่ได้รับทราบ”
พ่อบ้านเฮ่อรับคำ แล้วถอยไปอยู่ด้านข้าง
มาถึงแถวที่สอง หลวนอวิ๋นชูหยุดเท้าลงตรงหน้าเด็กสาวรูปร่างผอมสูง ท่าทางแข็งแรงแต่ไม่เก้งก้างหรือดูโง่เขลา เพียงมองมานางก็ถูกเด็กสาวผู้นี้ดึงดูดความสนใจ ไม่ใช่หน้าตาสะสวย หากแต่เด็กสาวรูปร่างสูงเกินไป ยืนอยู่ตรงนั้นประดุจยีราฟ ทำให้คนรู้สึกคล้ายเห็นนกกระสาในฝูงไก่นี่ยังเป็นเรื่องรอง ที่ดึงดูดใจหลวนอวิ๋นชูมากที่สุดคือแววตาของเด็กสาวผู้นี้ดูแตกต่างจากคนอื่น คนอื่นมองนางด้วยแววตามุ่งหวังรอคอย มีเพียงเด็กสาวผู้นี้ที่ในดวงตามีแต่ความเฉื่อยเนือย ราวกับว่าการมาทำงานที่จวนกั๋วกงเป็นงานที่แย่มาก
“เด็กคนนี้ชื่อเฉิงชิงเสวี่ย เป็นคนแคว้นหลี” เห็นหลวนอวิ๋นชูหยุดลง หลี่หวาที่สังเกตสีหน้าคนเก่งก็ฉวยโอกาสแนะนำ “เดิมเป็นคุณหนูคนหนึ่ง บิดาถูกตัดศีรษะ จึง…”
“ตัดศีรษะ?” หลวนอวิ๋นชูร้องอุทาน “เพราะเหตุใด”
“เพราะลักลอบค้าเกลือส่วนตัว” หลี่หวากล่าว “ครึ่งปีก่อนสองพ่อลูกมาค้าเกลือที่แคว้นหลวน ถูกเจี่ยผิงขุนนางผู้ดูแลการขนส่งเกลือของอำเภอชางอี้จับได้พร้อมของกลาง เห็นแก่ที่นางเป็นอิสตรี ทั้งมีผู้คนเป็นพยานบอกนางฝึกวรยุทธ์อยู่บนภูเขาเทียนมู่กับอาจารย์มาโดยตลอด เพิ่งลงจากเขามาได้ไม่นาน เพียงมาเยี่ยมบิดาเท่านั้น ไม่ได้เข้าร่วมกับการลักลอบค้าเกลือ ถึงได้รักษาชีวิตรอดมาได้ แต่ก็ถูกสักหน้าและขายให้ตลาดคนค้าทาส” พูดไปหลี่หวาก็ทอดถอนใจออกมาทีหนึ่ง “เฮ้อ…ก็เป็นเด็กที่โชคชะตาอาภัพ ได้ยินว่ามารดาของนางร้อนใจจนล้มป่วย อยู่ไกลถึงแคว้นหลี เป็นตายก็ไม่อาจรู้ได้”
ได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว หลวนอวิ๋นชูก็พิจารณาดูอย่างละเอียด เป็นเช่นนั้นจริง บริเวณด้านซ้ายของหน้าผากเฉิงชิงเสวี่ยที่ใช้ผมบังไว้พอจะมองเห็นรอยสักสีแดงชาดอยู่รำไร
ได้ยินคนพูดถึงสิ่งที่ตนประสบพบเจอมา เฉิงชิงเสวี่ยขอบตาแดงขึ้นมาทันที เห็นหลวนอวิ๋นชูจ้องหน้าผากของนาง น้ำตาหยดหนึ่งก็กลอกกลิ้งไปมาอยู่ในดวงตา เพียงพยายามข่มกลั้นอย่างเต็มที่ ไม่ให้ไหลออกมา
ไม่เลว เป็นเด็กที่เข้มแข็ง