บทที่ 1
ตู้ถิงหลันทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้เวลาล่วงเลยมามากแล้ว หงหนูก็ไปตั้งหลายชั่วยามเต็มที เพราะเหตุใดถึงยังไม่กลับมา
ไม่รู้ว่าสาวใช้ผู้นี้ได้พบกับหลูจ้าวอันหรือไม่ งานเลี้ยงของเหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อ ใกล้จะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า ถ้าขืนมัวรีรอต่อไปมิต้องเอ่ยถึงการซักถาม แม้กระทั่งโอกาสจะพบกันสักครั้งก็เลิกฝันไปได้เลย
พอคิดถึงหลูจ้าวอันขึ้นมาหัวใจของตู้ถิงหลันก็ร้อนรนปานกระทะทอดน้ำมันกระนั้น กว่าครึ่งเดือนมานี้เขาหลบเลี่ยงไม่ยอมพบหน้า พานทำให้นางกลัดกลุ้มจนแทบจะล้มป่วย ต่อให้เขาต้องการทรยศคำสาบาน อย่างไรก็ต้องมาพูดคุยกับนางซึ่งหน้าให้รู้เรื่อง
ตู้ถิงหลันไม่อาจเฝ้ารออยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไปจึงลุกขึ้นมองสำรวจรอบกายท่ามกลางความเงียบงัน มารดาชมการแสดงศิลปะและกายกรรมอยู่ที่ลานการแสดงในสวนฝั่งตะวันตก สมาชิกครอบครัวที่เป็นสตรีต่างไปชมดอกไม้ในสวนกันหมด บริเวณนี้ไม่มีผู้ใดอยู่เลยสักคน เป็นโอกาสเหมาะให้ลอบออกจากอารามพอดี
ตู้ถิงหลันขบกัดริมฝีปาก ขณะจะวางกรรไกรเย็บปักในมือลง จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะพูดคุยดังมาจากระเบียงทางเดิน
“ปีนี้วิชาหมิงจิงมีคนสอบผ่านร้อยกว่าคน ส่วนวิชาจิ้นซื่อกลับมีคนผ่านน้อยนิดแค่ยี่สิบคน อายุก็มากกันแล้วทั้งนั้น เกินกว่าครึ่งล้วนแต่งงานกันหมด ได้ยินมาว่าอายุมากที่สุดปาเข้าไปห้าสิบกว่าปี บุตรชายบุตรสาวที่อยู่ข้างกายอายุมากกว่าอาหว่านด้วยซ้ำ” ฮูหยินผู้หนึ่งกล่าว
“ก็ใช่น่ะสิ” ฮูหยินอีกคนหัวเราะเบาๆ “คิดไม่ถึงว่าสกุลหวังจะหันมามองบุรุษอายุมากเพื่อเลือกเฟ้นเขยขวัญให้บุตรสาวเช่นนี้”
“ความจริงก็ไม่แปลกนักที่ปีนี้สกุลหวังจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ หลายวันก่อนพวกเจ้าอยู่เมืองลั่วหยาง ไม่รู้ข่าวว่าผู้คว้าอันดับหนึ่งในการสอบวิชาจิ้นซื่อครั้งนี้เป็นคุณชายอายุยี่สิบต้นๆ คนผู้นี้ชื่อหลูจ้าวอัน นอกจากเขียนบทกวีได้ยอดเยี่ยม หน้าตายังหล่อเหลามีสง่าราศี ใช่ว่าจะมีแค่สกุลหวังที่สนใจอยากได้เป็นบุตรเขย ขุนนางใหญ่มากอำนาจตระกูลอื่นจำนวนหนึ่งก็สืบข่าวของหลูจิ้นซื่อผู้นี้อยู่”
ชื่อ ‘หลูจ้าวอัน’ สามคำที่ได้ยินผ่านม่านไข่มุกช่างระคายหูหาใดเปรียบ หัวใจของตู้ถิงหลันราวกับเกิดเกลียวคลื่นโหมซัดสาดจนลืมไปเสียสนิทเลยว่ายังกำกรรไกรเย็บปักเอาไว้ในมือ
“แต่เมื่อคืนข้าได้ยินเจ้ารองบ้านข้าบอกว่าในวันประกาศผลสอบมุขมนตรีเจิ้งแห่งสำนักบริหารได้ยินว่าหลูจ้าวอันคว้าอันดับหนึ่งมาครอง ก็รีบเรียกตัวเขามาซักถามประวัติ ถามไล่เลียงตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษสกุลหลูลงมา คงหมายมั่นจะยกบุตรสาวให้แต่งงานด้วยนั่นล่ะ ถ้าหากคุณชายหลูยังไม่ได้แต่งงานมีภรรยาที่เมืองหยางโจว เป็นไปได้มากว่ามุขมนตรีเจิ้งจะตกลงเรื่องการทาบทามสู่ขอแล้ว”
คำพูดประโยคนี้สร้างความตื่นตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว ฮูหยินอีกคนกล่าวขึ้นว่า “คุณชายหลูประสบความสำเร็จในการสอบจนเป็นที่รู้จักไปทั่วหล้า ส่วนสกุลเจิ้งแห่งเมืองสิงหยางก็เป็นถึงตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงบารมีสั่งสมมานับร้อยปี จะว่าไปแล้วก็มีวาสนาเหมาะสมกัน ในเมื่อขุนนางระดับสูงเช่นนั้นมาถามด้วยตนเอง คุณชายหลูตอบกลับไปเช่นไรเล่า”
“คุณชายหลูบอกว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน”
ใบหน้าตู้ถิงหลันซีดเผือดไปในพริบตา การคาดเดาเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าการได้ยินกับหูตนเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นคนผู้นี้กลับลืมนางไปจนหมดสิ้น
คำสาบานภายใต้ดวงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าคล้ายยังดังก้องในโสตประสาท ตอนแรกทำให้นางเคลิบเคลิ้มหลงใหลอย่างห้ามไม่อยู่เช่นไร ตอนนี้กลับเสียดสีได้เจ็บแสบเป็นเท่าทวี
เงาร่างคนนอกม่านไข่มุกปรากฏเลือนราง พอเห็นว่าจะมีใครเดินเข้ามาตู้ถิงหลันก็ฝืนเท้าแขนเตรียมลุกขึ้นยืน แต่ทันใดนั้นเองก็รู้สึกถึงความร้อนชื้นตรงกลางฝ่ามือ พอก้มศีรษะลงถึงเห็นว่าโดนกรรไกรกรีดเป็นแผล หยดเลือดไหลรินไม่ขาดสาย สีแดงสดบาดตาสะท้านหัวใจ
ตู้ถิงหลันมองภาพสีแดงฉานอันพร่ามัวราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง วันนี้ได้แต่นึกเสียใจว่าในอดีตเหตุใดถึงดื้อดึงจะไปเดินเล่นรับฤดูใบไม้ผลิ แถบชานเมืองหยางโจว ถ้าหากไม่มีการพบกันโดยบังเอิญกลางป่าดอกท้อครั้งนั้น ไหนเลยจะมีความอัปยศในวันนี้
“คุณหนู!” มีคนผู้หนึ่งใช้ผ้าเช็ดหน้ากดปากแผลเอาไว้แน่น ตู้ถิงหลันเงยหน้ามองอย่างเหม่อลอยก็เห็นหงหนูมองนางด้วยแววตาตื่นตระหนก เมื่อครู่นางเฝ้ารอให้สาวใช้ผู้นี้นำคำพูดของนางไปบอกหลูจ้าวอัน ตอนนี้พอนึกถึงคนผู้นั้นขึ้นมาก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว
หงหนูรีบร้อนตรวจดูบาดแผลเสร็จ ก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาพร้อมกระซิบบอกว่า “คุณชายหลูให้ข้าน้อยนำกระดาษสีแผ่นนี้มาให้คุณหนู บอกว่าต้องการให้ท่านไปพบเขาที่ป่าไผ่นอกหอเยวี่ยเติงเจ้าค่ะ”
ตู้ถิงหลันหัวเราะเย้ยหยันคำหนึ่งพลางแย่งกระดาษไฉ่เซิ่ง นั้นมา ตั้งใจจะฉีกเป็นชิ้นๆ ทว่าจนปัญญาที่นิ้วมือสั่นระริก ลองฉีกทึ้งรอบหนึ่งแล้วก็ยังไม่ขาด กลับทำให้บาดแผลกลางฝ่ามือเปิดกว้างอีกครั้ง