ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 105
บทที่ 105
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว ลิ่นเฉิงโย่วจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา
เขาหวั่นเกรงว่าตอนกระโดดข้ามหน้าต่างจะเกิดเสียงดังกุกกัก ก่อนจากไปจึงไม่ได้สั่งผีน้อยให้ล่าถอยไปด้วย แต่บอกวิธีส่งผีน้อยกับเถิงอวี้อี้แทน พร้อมกำชับนางว่าหลังเขาไปแล้วค่อยจัดการส่งพวกมันกลับ
คนทั้งสองเดินมาถึงริมหน้าต่าง ลิ่นเฉิงโย่วก็หันไปมองหน้าเถิงอวี้อี้พลางว่า “เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร”
“เข้าใจแล้ว” เมื่อครู่เถิงอวี้อี้ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี นางรีบเอ่ยทวนซ้ำวิธีการที่ว่านั้นรอบหนึ่ง
ลิ่นเฉิงโย่วหยุดคิดตามแล้วเอ่ยว่า “ประมาณนี้” ก่อนหรี่ตามองเถิงอวี้อี้พร้อมกล่าวต่อ “อู๋เหวย เจ้าก็ถือว่าเป็นศิษย์นอกสำนัก* ของอารามชิงอวิ๋นไปครึ่งตัว ถึงเวลาเรียนรู้การร่ายอาคมเต๋าง่ายๆ พวกนี้เองเสียที หลังข้าออกไปจะรออยู่บนหลังคาสักพัก หากเจ้าทำได้ไม่เลว หมายความว่าเข้าใจหลักการพื้นฐานแล้ว อย่างนั้นครั้งหน้าข้าพาเจ้าไปขับไล่ภูตผี ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก หากยังทำได้ไม่ดีพอ หมายความว่ายังขาดประสบการณ์ ข้าก็กลัวว่าจะโดนคนถ่วงแข้งถ่วงขาเช่นกัน เรื่องที่จะพาเจ้าไปขับไล่ภูตผีคงต้องรอไปก่อน”
เถิงอวี้อี้ได้ยินประโยคนี้ก็รีบแสดงท่าทีขึงขังเต็มที่ “ซื่อจื่อคอยดูแล้วกัน”
ลิ่นเฉิงโย่วลอบยิ้มอยู่ในใจ ก่อนจะปีนข้ามหน้าต่างออกไปอย่างรวดเร็ว
เวลาไม่คอยท่า เถิงอวี้อี้ใช้แท่งจุดไฟจุดยันต์ที่ลิ่นเฉิงโย่วทิ้งเอาไว้ให้ ริมฝีปากขยับพึมพำท่องคาถา ส่งผีน้อยที่อยู่ตรงหน้าต่างกลับไปก่อน แล้วค่อยส่งผีน้อยที่อยู่นอกประตูตามไป สุดท้ายก็ทำความสะอาดผงเรียกวิญญาณตรงหน้าประตูกับร่องหน้าต่างจนสะอาดเกลี้ยงเกลา
พอเถิงอวี้อี้จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย นางก็ก้มศีรษะมองกระดิ่งเสวียนอินบนข้อมือ กระดิ่งเสวียนอินไม่สั่นไหวเบาๆ อีกอย่างที่คิด ชี้ให้เห็นว่านางส่งเหล่าผีน้อยกลับไปได้สำเร็จแล้ว
นางรู้ดีว่าลิ่นเฉิงโย่วยังมิได้ไปไกล แทบอยากจะตะโกนออกไปนอกหน้าต่างด้วยความดีใจว่า ‘ข้าทำได้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่’
ลิ่นเฉิงโย่วกลั้นลมหายใจหมอบอยู่บนหลังคาห้องนาง เห็นดังนั้นก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะกระโดดทะยานร่างขึ้นไป ลอยลิ่วกลืนหายไปในความมืดยามค่ำคืน
ขณะเถิงอวี้อี้หวีผมล้างหน้า นางสัมผัสได้ถึงแววตาเคลือบแคลงจากญาติผู้พี่ที่มองมาเป็นระยะ รอจนพวกนางสองคนนอนลงบนเตียง ญาติผู้พี่ก็เอ่ยปากถามนางขึ้นมาจริงๆ
“เจ้ากับซื่อจื่อเคยขับไล่ภูตผีด้วยกันมาก่อนหรือ”
เถิงอวี้อี้พยักหน้า นางไม่อาจบอกญาติผู้พี่ได้ว่าตนเองทำเช่นนี้เพื่อสั่งสมบุญกุศล จำต้องตอบไปอย่างคลุมเครือว่า “นักพรตน้อยสองคนพาข้าไป พอดีช่วงนี้ข้าเคราะห์ร้ายเป็นประจำ รู้สึกว่าเรียนอาคมเต๋าเสริมบ้างจะต้องเป็นประโยชน์กับตนเองแน่ๆ จึงติดตามพวกเขาไปด้วย”
ตู้ถิงหลันใช้มือข้างหนึ่งรองใต้แก้มข้างขวาของตนเอง ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นจับมุมผ้าห่มให้ญาติผู้น้อง “เจ้ามองไม่ออกหรือว่าลิ่นเฉิงโย่วชอบเจ้า”
เถิงอวี้อี้นิ่งอึ้งไปทันใด
“เจ้าคิดดู หากเขาไม่ใส่ใจกับเรื่องของเจ้ามากเหลือเกิน พอได้ยินว่าที่สำนักศึกษามีเรื่องจะรีบร้อนมาได้อย่างไร”
เถิงอวี้อี้เผยอปากอย่างตื่นตระหนก “แต่นี่เป็นเรื่องที่พวกเราตกลงกันไว้ก่อนนะ เดิมทีลิ่นเฉิงโย่วก็เป็นคนที่รักษาสัญญาอยู่แล้ว…”
“พาเจ้าไปขับไล่ภูตผีก็เพราะต้องการทำตามสัญญา? เจ้าไม่รู้วิชาเต๋าสักหน่อย เขาพาเจ้าไปโดยไม่รังเกียจว่าจะเป็นภาระให้หรือ”
เถิงอวี้อี้ตะลึงงันไปแล้ว ในเวลาเดียวกันนั้นนางสัมผัสได้ว่าหัวใจสั่นไหวอย่างประหลาด ความรู้สึกเช่นนี้ไม่อาจนับได้ว่าแปลกใหม่ ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดขึ้นกับหัวใจของนาง แต่ทุกครั้งจะคงอยู่เพียงช่วงสั้นๆ ชั่วพริบตาเดียวก็จะเลือนหายไป
นางเหม่อลอยไปพักใหญ่ แล้วเอ่ยขัดจังหวะญาติผู้พี่ “สาเหตุที่ครั้งนั้นพวกเขาพาข้าไปขับไล่ภูตผีก็เพื่อช่วยข้าทดสอบกระดิ่งเสวียนอินว่าพลังฟื้นคืนหรือยัง จะว่าไปเรื่องนี้ยังเป็นเพราะข้าจะเข้าเรียนในสำนักศึกษาแล้วด้วย พอลิ่นเฉิงโย่วได้ยินว่ามีหัวขโมยมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ข้า จึงอยากรู้ว่าหัวขโมยนั่นคือผู้ใด”
ตู้ถิงหลันยิ้มน้อยๆ “ข้างกายเจ้ามีหัวขโมยมาป้วนเปี้ยนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย ตอนนี้เฉิงอ๋องกับพระชายาไม่อยู่ในฉางอัน กิจธุระต่างๆ ในวังเฉิงอ๋องต้องมีลิ่นเฉิงโย่วจัดการ ทุกวันนี้เขายังเป็นขุนนางอยู่ที่ศาลต้าหลี่ด้วย คดีที่ผ่านมือเขาล้วนเป็นคดีใหญ่ที่ซับซ้อน แต่ละวันเขาต้องวิ่งวุ่นไปทั่วสารทิศ เดิมทีก็มีงานยุ่งล้นมือมากแล้ว หากไม่ใช่ว่าในใจให้ความสำคัญมาก จะจำเป็นต้องเจียดกำลังแรงกายมาคอยดูแลเจ้าหรือไม่เล่า”
เถิงอวี้อี้หยุดชะงักไปอีกครั้ง เพราะนางนึกไม่ถึงว่าคำพูดของญาติผู้พี่จะมีเหตุผลปานนี้
“ไม่ ไม่ใช่ เขาเคยบอกเองว่าเพราะรับอานม้าหยกม่วงจากข้าไปถึงได้ตกลงช่วยเหลือ”
ตู้ถิงหลันถอนหายใจ “ทุกปีวังเฉิงอ๋องได้รับสมบัติล้ำค่าจากทั่วหล้ามากมายนับไม่ถ้วน หากทุกครั้งที่รับของล้ำค่าชิ้นหนึ่งก็ต้องตอบตกลงช่วยเหลือครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าลิ่นเฉิงโย่วต้องช่วยเหลือคนไปมากเพียงใดแล้ว”
“ข้าแตกต่างจากคนพวกนั้นนะ ข้ากับลิ่นเฉิงโย่วยังมีเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ สนิทสนมถึงขั้นผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาแล้ว เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อบอกว่าครั้งนั้นหากไม่มีข้าช่วยเหลือ ทุกคนคงไม่มีทางปราบมารผีดิบได้ราบรื่นเช่นนั้น ต่อมาตอนกำจัดปีศาจรากษสโลหิตข้าก็มีความดีความชอบใหญ่หลวง ลิ่นเฉิงโย่วถูกผิดแยกแยะชัดเจน รู้ดีว่าเรื่องนี้ข้ามีบทบาทช่วยเหลือมากเพียงใด เวลานี้ข้าถูกคนวางแผนลอบทำร้าย ด้วยมิตรภาพแน่นแฟ้นปานนี้เขาไม่มีทางไม่แยแสข้า”
เถิงอวี้อี้ยังคงพูดจาเจื้อยแจ้วไม่หยุด ตู้ถิงหลันกลับรับฟังอยู่เงียบๆ รอให้ญาติผู้น้องกล่าวมารวดเดียวจนจบนางก็คลี่ยิ้มย้อนถามว่า “คำอธิบายพวกนี้เจ้าบอกกับตนเองในใจอยู่เสมอใช่หรือไม่”
เถิงอวี้อี้พูดไม่ออกไปชั่วขณะ แล้วตอบกลับอย่างฉะฉานทันควัน “พี่สาว ท่านลืมไปหรือว่าลิ่นเฉิงโย่วยังโดนพิษกู่ไร้รัก ท่านลองดูกู่ที่เจ้าคนชั้นต่ำหลูจ้าวอันใช้กับท่านว่าร้ายกาจถึงเพียงใดก็รู้แล้ว นอกจากร่างอาศัยจะเสี่ยงอันตรายเกือบตาย ไม่อย่างนั้นคงยากจะถอนพิษกู่ได้ พิษกู่ในร่างลิ่นเฉิงโย่วคิดว่ายิ่งถอนไม่ได้ง่ายๆ อีกอย่างต่อให้ถอนพิษกู่ได้สำเร็จ หากลิ่นเฉิงโย่วจะชอบพอใครจำเป็นต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยหรือ ทุกครั้งเขาจะบอกข้าว่าเขาเพียงช่วยเหลือเท่านั้น ย้ำซ้ำๆ กับข้าว่าไม่ต้องคิดมาก”