เหล่าศิษย์เดินออกจากสำนักศึกษา องค์รัชทายาทถวายอารักขาฮองเฮาเสด็จมาถึงสำนักศึกษาพอดี
ระหว่างที่พวกนางทยอยขึ้นรถม้าตามลำดับ องค์รัชทายาทเดิมทีสายตามองตรงไม่ว่อกแว่ก ทว่าพอตู้ถิงหลันเดินมา อยู่ๆ องค์รัชทายาทกลับหันมามองนาง
ถึงจะเป็นการชำเลืองมองเพียงแวบเดียว แต่สายตาแฝงรอยยิ้มที่มองสำรวจนั้นทำให้คนอยากจะมองข้ามก็ทำได้ยากเย็น
เถิงอวี้อี้มองเห็นชัดเจน นางก้มศีรษะเดินขึ้นรถม้าไปกับสหายหลายคน รถม้าคันนี้ราชสำนักสั่งทำเพื่อสำนักศึกษาเซียงเซี่ยงโดยเฉพาะ ภายในกว้างขวางและแข็งแรงกว่ารถม้าทั่วไปมาก
ตอนแรกบรรดาสหายร่วมเรียนไม่ได้พูดอะไร ความผิดปกติขององค์รัชทายาททุกคนต่างสังเกตเห็นชัดเจนถ้วนหน้า ติดขัดว่าตู้ถิงหลันกับเถิงอวี้อี้อยู่ตรงนี้ด้วยจึงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างเปิดเผย
ผ่านไปไม่นานหลิ่วซื่อเหนียงก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน “ท่านอาจารย์ใหญ่หลิวบอกว่าครั้งนั้นบนเขาหลีซานความจริงจะจัดงานล่าสัตว์กับการแข่งจีจวี ปรากฏว่าบนเขากลับมีสิ่งชั่วร้ายบุกมา จำต้องรีบร้อนลงจากเขา ฝ่าบาททรงรู้สึกว่ายังไม่สนุกเต็มที่ ดังนั้นวันนี้จึงเรียกผู้คนมากมายตามเสด็จ ประจวบเหมาะว่าการสอบจื้อจวี่ของราชสำนักใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว เพื่อคัดเลือกบัณฑิตผู้มีความสามารถด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทจึงมีพระราชโองการให้ยอดบัณฑิตที่สอบผ่านวิชาจิ้นซื่อในปีนี้ตามเสด็จด้วย”
“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่หลิวยังบอกว่าคนเหล่านี้เป็นคนที่มีพรสวรรค์ปราดเปรื่องทั้งสิ้น ประเดี๋ยวฝ่าบาทจะมีรับสั่งให้พวกเขาแต่งกลอน แต่ละบทจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ท่านอาจารย์ใหญ่ยังกำชับพวกเราหลายครั้งว่าให้ตั้งใจฟังให้ดี บอกว่าพวกเราอาจจะได้ความรู้เรื่องการแต่งกลอนเพิ่มเติม จริงสิ ถึงตอนนั้นท่านอาจารย์ใหญ่ต้องให้คนมาคัดลอกในงานเลี้ยงทันที พวกเราจะเสนอใครมาทำหน้าที่คนคัดลอกดีเล่า”
เด็กสาวทั้งหลายเอ่ยหยอกล้อ “เติ้งเหวยหลี่ดีหรือไม่ เทียบกันเรื่องความจำใครจะสู้นางได้บ้าง ขนาดเรื่องที่เกิดขึ้นหลายปีมาแล้วยังจำได้อยู่เลย”
เติ้งเหวยหลี่เอียงตัวล้มใส่เถิงอวี้อี้ “พวกเจ้าไปหาคนอื่นเถอะ ข้าความจำดีใช้ได้ แต่ข้าเขียนหนังสือช้ากว่าคนอื่นตั้งมาก” นางพูดแล้วก็ผลักเถิงอวี้อี้ “พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็เคืองนัก เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆ หรือ ตอนเด็กๆ เจ้าเคยมาฉางอันนะ จนถึงวันนี้ข้ายังจำได้เลยว่าตอนนั้นเจ้า…”
จู่ๆ หลี่ไหวกู้ก็เอ่ยขึ้นว่า “เอ๊ะ ไม่รู้ว่าคราวนี้พวกเราจะได้ออกไปเที่ยวกี่วัน”
“ประมาณวันมะรืนก็ได้กลับเข้าเมืองแล้ว” เฉินเอ้อร์เหนียงเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง “แต่ข้ารู้สึกกังวลอยู่นะ สำนักศึกษาเปิดเรียนมาสักพักแล้ว ฮองเฮาใส่พระทัยเรื่องบทเรียนของพวกเราถึงเพียงนั้น เพื่อให้พระองค์วางพระทัย ท่านอาจารย์ใหญ่จะต้องทดสอบการทบทวนบทเรียนของศิษย์ทุกคนต่อหน้าธารกำนัลแน่ แต่ไม่รู้ว่าคืนนี้ท่านอาจารย์ใหญ่จะสุ่มเลือกใครน่ะสิ”
“อาอวี้กับเหวยหลี่ไม่ชอบตอบคำถามทั้งคู่” หลิ่วซื่อเหนียงสะกิดเจิ้งซวงอิ๋นเบาๆ “หากข้าเป็นท่านอาจารย์ใหญ่จะต้องเลือกเจ้ามาเชิดหน้าชูตาสำนักศึกษาแน่ เทียบกันเรื่องวิชาความรู้ ในหมู่สหายร่วมเรียนไม่มีใครเก่งกาจยิ่งกว่าเจ้าแล้ว”
“ก็ไม่แน่หรอก” คุณหนูใหญ่เผิงเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “อย่าลืมว่ายังมีคุณหนูตู้อีกคน วิชาความรู้ของคุณหนูตู้ยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง ยังมีอู่ฉี่ก็ไม่จัดว่าแย่ ช่วงหลายวันมานี้ท่านอาจารย์ใหญ่หลิวเลือกความเรียงบางส่วนของอู่ฉี่ส่งเข้าวังไปเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างอย่าลืมว่าครั้งก่อนตอนอยู่ที่คฤหาสน์เล่อเต้าฮองเฮายังตรัสชื่นชมชื่อ ‘ทั่นหลี’ สองคำนี้ของอู่ฉี่ว่ามีพลังฮึกเหิม”
เจิ้งซวงอิ๋นยังรู้สึกละอายใจต่อสองพี่น้องสกุลอู่เพราะพี่ชายคนโตของนางถอนหมั้นโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่เลย ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ “พวกเจ้าอย่าพูดถึงนางเลย นางวันๆ หดหู่เศร้าหมอง ทุกครั้งเวลาอาจารย์ใหญ่เรียกนางลุกขึ้นตอบคำถามก็เพียงกัดฟันตอบไปเท่านั้น ”
เมื่อมาถึงพระราชนิเวศน์ลี่อวิ๋น เหล่าขันทีกับนางกำนัลก็พาศิษย์จากสำนักศึกษาแยกย้ายกันไปยังห้องพักที่ได้รับการจัดสรรไว้
พอทางนี้เพิ่งเก็บข้าวของเรียบร้อย นางกำนัลก็มาแจ้งว่าอาหารเย็นเตรียมพร้อมแล้ว
ทุกคนรู้แก่ใจดีว่าคืนนี้ไม่มีทางเป็นงานเลี้ยงมื้อค่ำธรรมดาๆ ไปคราวนี้ไม่รู้จะเป็นหายนะหรือโชควาสนา ตอนออกเดินทางจึงหวาดวิตกอยู่บ้าง
เมื่อมาถึงตำหนักหย่งจยาสถานที่จัดงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้แล้ว ทุกคนต่างก็ตกตะลึงในความใหญ่โตโอ่อ่าของพระตำหนักนั้นจนทำให้คนวิงเวียนตาลายไปเล็กน้อย
หน้าตำหนักจุดเปลวไฟลุกโชติช่วง ภายในห้องโถงใหญ่แบ่งเป็นที่นั่งฝั่งบุรุษและที่นั่งฝั่งสตรี โชคดีว่าขณะกินอาหารฮ่องเต้กับฮองเฮาไม่ได้ตรัสถามอะไร ศิษย์สำนักศึกษาจึงพ้นด่านเคราะห์ไปได้ หลังกินอาหารเสร็จอย่างตัวสั่นงันงกก็มีขันทีกับนางกำนัลนำทางมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ชมการแสดงศิลปะของนักแสดงจากต่างแคว้นเช่นแคว้นอวี๋เถียน
ครั้งนี้ที่นั่งฝั่งบุรุษกับที่นั่งฝั่งสตรีใกล้กันมากกว่าเดิม