บทที่ 107
ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองอู่ฉี่แวบหนึ่ง “เหตุใดนางถึงต้องมอบทองคำให้ยายเฒ่าหวังด้วยเล่า”
เจี่ยวเอ๋อร์ตอบ “เพราะยายเฒ่าหวังช่วยทำงานเรื่องหนึ่ง ทองคำนี้เป็นค่าตอบแทนของนางเจ้าค่ะ”
“ช่วยทำงานอะไรไปบ้าง”
เจี่ยวเอ๋อร์ตอบด้วยความขลาดกลัว “ช่วยวางแผนลอบทำร้าย…”
“ท่านอาจารย์ใหญ่!” อยู่ๆ อู่ฉี่ก็ส่งเสียงตัดบทเจี่ยวเอ๋อร์ จากนั้นก็รีบร้อนลุกออกจากที่นั่ง หันไปทางอาจารย์ใหญ่หลิวแล้วก้มศีรษะทำความเคารพ “ข้าเป็นคนที่ท่านเฝ้ามองจนเติบใหญ่ ข้านิสัยเป็นเช่นไรท่านรู้ดีที่สุด ตั้งแต่เล็กข้านิสัยตรงไปตรงมา จะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ซื้อตัวสาวใช้ผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการเจาะจงใส่ร้ายสกุลอู่ ก่อนหน้านี้ไม่นานพี่สาวของข้าเพิ่งเกิดเรื่อง นี่ก็ถึงคราวของข้าแล้วใช่หรือไม่ ท่านอาจารย์ใหญ่โปรดให้ความเป็นธรรมด้วย แทนที่จะโดนสาดน้ำสกปรกใส่อย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ อาฉี่ยอมฆ่าตัวตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์เสียดีกว่า!”
นางแสดงความแค้นเคืองเต็มอก ก้อนสะอื้นจุกในลำคอ ท่าทางน้อยอกน้อยใจเหลือคณา
อาจารย์ใหญ่หลิวใจอ่อนยวบ รีบร้อนลุกมาประคองอู่ฉี่ให้ลุกขึ้น “เด็กดี เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย”
อู่ฉี่เช็ดน้ำตาป้อยๆ
อาจารย์ใหญ่หลิวกับอู่ฮูหยินความสัมพันธ์ส่วนตัวสนิทสนมแน่นแฟ้น ปกติเวลาอยู่ในสำนักศึกษาจึงคอยดูแลพี่น้องสกุลอู่ไม่น้อย คืนนี้อู่ฮูหยินต้องดูแลบุตรสาวคนโตที่วิญญาณหายไปเสี้ยวหนึ่งไม่ได้ออกนอกเมือง เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอู่ฉี่ก็ถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของนาง ดังนั้นจึงกราบทูลฮองเฮาอย่างอ้อมๆ ว่า “ฮองเฮาทรงพิจารณาด้วย อาฉี่ เด็กผู้นี้ข้ารู้จักดี นิสัยซื่อตรงเปิดเผยมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีทางทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด อาศัยเพียงคำกล่าวอ้างของสาวใช้ผู้หนึ่งเกรงว่ายากจะเชื่อถือได้เพคะ”
ฮองเฮาคิดทบทวนก็ตรัสกับคนที่อยู่ข้างล่างว่า “โย่วเอ๋อร์ นอกจากคำให้การของสาวใช้ผู้นี้ ยังมีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่”
ลิ่นเฉิงโย่วปรายตามองเจี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ตรงปลายเท้า พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา มองเห็นชัดเลยว่าเจี่ยวเอ๋อร์จิตใจว้าวุ่นสับสนยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มาก นางคุกเข่ากับพื้นตัวสั่นระริก ไม่กล้าเปิดเผยสิ่งใดออกมาสักคำแล้ว
เขาเงยหน้ามองอู่ฉี่แวบหนึ่ง คลี่ยิ้มแล้วตอบคำถามของฮองเฮา “มีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้วว่าคืนนี้หัวขโมยทั้งสองคนจะเจ้าเล่ห์กลับกลอกเป็นพิเศษ จะกล้าไม่เตรียมตัวพร้อมสรรพได้หรือ” จากนั้นก็หันไปกล่าวกับเจี่ยวเอ๋อร์ “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่มีทางหนีพ้นแล้ว ขอเพียงเจ้าบอกทุกอย่างที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่หากเจ้ายังมัวอึกอักอยู่เช่นนี้ รอให้คืนนี้นางรอดตัวไปได้ก็จะจัดการเจ้าเป็นคนแรก”
เจี่ยวเอ๋อร์หนังศีรษะเย็นวูบ “คุณหนู…คุณหนูรองสั่งข้าน้อยให้เอากระดาษคัดบทกวีสองแผ่นนั้นไปให้ยายเฒ่าหวัง”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยต่อ “พูดมาให้ชัดเจน กระดาษคัดบทกวีสองแผ่นใด”
“กระดาษคัดบทกวีที่คุณหนูรองไปขโมยมาจากห้องคุณหนูตู้”
“คืนนั้นพอขโมยออกมาก็ส่งให้ยายเฒ่าหวังเลย? คุณหนูรองของเจ้ารู้จักคุณชายหลูอยู่ก่อนแล้ว?”
เจี่ยวเอ๋อร์ส่ายหน้า “ไม่รู้จักเจ้าค่ะ นี่เป็นความคิดที่ยายเฒ่าหวังเสนอมา”
“คุณหนูรองของเจ้าสนิทสนมกับยายเฒ่าหวังมากหรือ”
“สนิทกันมาก พวกนางสองคนรู้จักกันผ่านจิ้งเฉินซือไท่แห่งอารามนักพรตหญิงอวี้เจิน”
ภายในงานเลี้ยงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมขึ้นทันใด จิ้งเฉินซือไท่เป็นถึงนักโทษคนสำคัญที่ราชสำนักตามล่าตัวมาหลายปี ไม่นานมานี้เพิ่งจะปลิดชีพตนเองเนื่องจากแผนการล้มเหลว
“เจ้าพูดเหลวไหล!” อู่ฉี่ตะโกนลั่นอย่างร้อนรน “ซื่อจื่อ ได้ยินว่าท่านมีฝีมือในการสืบสวนคดี มองสิ่งใดล้วนทะลุปรุโปร่ง คืนนี้เหตุใดเลอะเลือนถึงขั้นถูกสาวใช้ผู้หนึ่งจูงจมูกได้ เจี่ยวเอ๋อร์โดนคนซื้อตัวไปนานแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นางพูดมาเป็นเพียง…”
ลิ่นเฉิงโย่วยกมือขึ้นสั่งการให้เจ้าหน้าที่แยกตัวอู่ฉี่ออกจากคนรอบข้าง และยังส่งสัญญาณให้องครักษ์วังหลวงที่มีวรยุทธ์สูงส่งสองสามคนนั้นป้องกันคนลอบทำร้ายอู่ฉี่ด้วย ถึงได้กล่าวกับเจี่ยวเอ๋อร์ว่า “พูดต่อไปสิ”
เจี่ยวเอ๋อร์เช็ดเหงื่ออย่างลนลาน นางสารภาพเรื่องที่ตนเองรู้ออกมาจนหมดเปลือก
ประมาณห้าหกปีก่อนอู่ฉี่ได้ยินมาด้วยความบังเอิญเหลือเกินว่าคำอธิษฐานของอารามนักพรตหญิงอวี้เจินศักดิ์สิทธิ์นัก นับตั้งแต่นั้นมาก็ไปจุดธูปในอารามเป็นประจำ บางครั้งเมื่อถึงช่วงที่ดอกไม้ในอารามบานสะพรั่งก็จะชักชวนสหายไปจัดงานชุมนุมกวีที่นั่น
ไปๆ มาๆ ก็รู้จักสนิทสนมกับจิ้งเฉินซือไท่ขึ้นมา ตอนแรกเพียงดื่มน้ำชาพูดคุยกับซือไท่ ภายหลังก็เริ่มเรียนรู้วรยุทธ์แปลกพิสดารบางอย่างจากอีกฝ่าย