“ยายเฒ่าหวังถูกพวกเราจับกุมในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถกลับห้องไปทำลายหลักฐานได้ทัน พอตรวจค้นดูแล้วพบของที่น่าสนใจไม่น้อย นี่เป็นกล่องใส่จดหมายใบหนึ่ง ซ่อนอยู่ในช่องลับของห้องนั้น ในกล่องไม่มีจดหมายของใครอื่น เป็นจดหมายที่คุณหนูรองอู่เขียนให้นางเองกับมือทั้งหมด”
ลิ่นเฉิงโย่วหยิบกล่องใส่จดหมายออกมาจากในหีบ ก่อนหยิบจดหมายฉบับหนึ่งในนั้นออกมาต่อหน้าอู่ฉี่ แล้วค่อยๆ เปิดจดหมายออก
อู่ฉี่เพ่งมองให้ดีแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันควัน
ลิ่นเฉิงโย่วมองนางอย่างเข้าอกเข้าใจ “ข้ารู้ จิ้งเฉินซือไท่จะต้องเคยสอนวิธีทำให้รอยหมึกหายไปกับเจ้าแน่ เพียงเล่นเล่ห์กลเล็กน้อยกับน้ำหมึก ลายมือในจดหมายไม่เกินครึ่งวันก็จะเลือนไป เจ้ามั่นใจว่าจดหมายที่ตนเองส่งไปไม่มีทางหลงเหลือจุดอ่อนให้จับได้ ดังนั้นถึงได้ไร้ความหวั่นเกรง เจ้าคงคิดไม่ถึงว่าแม้จิ้งเฉินซือไท่กับยายเฒ่าหวังจะล่อลวงเจ้า ใช้ประโยชน์จากเจ้า แต่ก็ป้องกันตนเองจากเจ้าด้วย ในหมึกที่มอบให้เจ้ายังมีเล่ห์กลอื่นแอบแฝง มันเพียงเลือนไปชั่วครู่เท่านั้น ไม่เกินหนึ่งวันก็จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดนี้ก็เพื่อเก็บเป็นหลักฐานสำคัญไว้ข่มขู่เจ้าในวันหน้า ลายมือในจดหมายชัดเจนทุกตัวอักษร พอตรวจเทียบดูก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นคนเขียนเอง”
“แล้วลายมือจะปลอมขึ้นมาไม่ได้หรือไร” อู่ฉี่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คนผู้นั้นซื้อตัวเจี่ยวเอ๋อร์ไปแล้ว ก็สามารถปลอมลายมือข้าได้ง่ายๆ…”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยต่อ “เจ้านี่ปากแข็งจริงๆ โชคดียายเฒ่าหวังฉลาดกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ นางก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร รู้ว่าวันใดที่เรื่องราวถูกเปิดเผยเจ้าจะต้องปัดความผิดให้พ้นตัวอย่างสิ้นเชิงแน่ เพราะฉะนั้นในจดหมายบางฉบับนางจึงใช้การชิงวิญญาณเป็นข้ออ้าง ให้เจ้าวาดตำแหน่งปานกับไฝทุกจุดบนร่างพี่สาวส่งให้นางด้วย ตรงซอกนิ้วเท้าพี่สาวเจ้ามีไฝดำขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวจุดหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงท่านแม่เจ้าก็ไม่รู้แน่ชัด สาวใช้คนสนิทของพี่สาวเจ้าก็ไม่รู้เรื่อง แต่เจ้ากลับไปถามจากปากพี่สาวมาเอง แล้วเจ้าก็จุ่มน้ำหมึกดำที่ทำขึ้นเป็นพิเศษนั่นวาดตำแหน่งและลักษณะปานกับไฝน้อยใหญ่รวมสิบเอ็ดจุดบนร่างพี่สาวลงไปในจดหมายอย่างละเอียด รวมถึงไฝตรงง่ามนิ้วเท้านั่นด้วย”
ในงานเลี้ยงมีเสียงดังอื้ออึงขึ้นทันใด
“ยายเฒ่าหวังรู้ว่าจะจัดการคนอย่างเจ้าเช่นไร อาศัยเพียงจดหมายฉบับเดียวยังไม่พอ” ลิ่นเฉิงโย่วมีท่าทีสงบนิ่งผ่อนคลาย “ดังนั้นในจดหมายฉบับถัดไปนางจะเสนอเงื่อนไขที่แยบยลยิ่งกว่านี้ให้เจ้า นางบอกว่าเวลาจะชิงวิญญาณจำเป็นต้องใช้เลือดของผู้ที่ถูกทำร้ายสองสามหยด จึงฝากปิ่นปักผมอันหนึ่งไปให้เจ้าพร้อมจดหมาย ให้เจ้าใช้ปลายแหลมของปิ่นดูดเลือดจากรอยปานที่สะดุดตาที่สุดสองจุดบนร่างพี่สาว นอกจากนี้ยังบอกว่าหากทำสำเร็จแล้วต้องส่งปิ่นกลับคืนไปภายในสามวัน
เจ้ามุ่งมั่นอยากร่วมคัดเลือกเป็นพระชายาองค์รัชทายาทมาตลอด พอได้ยินว่าฮองเฮากับอาจารย์ใหญ่หลิวพอใจในตัวพี่สาว เจ้ากลัวว่าหากปล่อยยืดเยื้อนานวันจะเกิดเหตุพลิกผัน จึงจำใจรับปิ่นปักผมอันนี้ไว้ ต่อมาเจ้าฉวยโอกาสระหว่างหยอกเล่นกับพี่สาวแสร้งทำเป็นใช้ปิ่นกรีดแขนนางเป็นแผลโดยไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นวันหนึ่งก็ ‘พลั้งมือ’ กรีดข้อมือซ้ายของนางอีกครั้ง ตามด้วยเขียนระบุเวลาที่เอาเลือดมาอย่างชัดเจนลงในจดหมาย แล้วแนบปิ่นอันนี้ส่งคืนไปด้วย
ปลายปิ่นแหลมคม สองครั้งนี้พี่สาวเจ้าต้องมีเลือดออกไม่น้อย ครั้งแรกนางทำได้เพียงบอกว่าไม่เป็นไร พอครั้งที่สองกลับเริ่มงุนงง เรื่องนี้ไม่เพียงทำให้สาวใช้ข้างกายพี่สาวเจ้าตกใจ แม้แต่มารดาเจ้าก็เคยซักไซ้ว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกนางสามารถเป็นพยานได้ว่าเจ้าใช้ปิ่นปักผมทำร้ายพี่สาวบาดเจ็บสองครั้ง ประจวบเหมาะกับว่าบาดแผลทั้งสองจุดล้วนโดนกรีดลงบนปาน ส่วนวันกับเวลาที่ลงมือตรงกับเนื้อความที่เจ้าเขียนระบุไว้ในจดหมายพอดี”
คำอธิบายยาวเหยียดนี้ประหนึ่งศิลาก้อนใหญ่มหึมา ก่อเกิดคลื่นน้ำแตกกระจายสูงขึ้นไปในอากาศทันใด ลายมือปลอมได้ สาวใช้ซื้อตัวได้ กระทั่งปานก็ยังสอบถามไปอย่างช้าๆ ได้ แต่การสร้างบาดแผลสองรอยบนปานสองจุดของคุณหนูใหญ่อู่ตามลำดับใครก็ไม่สามารถบงการให้ทำได้
ทุกอย่างต้องทำด้วยความสมัครใจของอู่ฉี่ทั้งสิ้น
ในที่สุดอาจารย์ใหญ่หลิวจิตใจก็สั่นคลอน สีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด
“ตอนนี้ปิ่นปักผมที่ว่านั่นก็วางอยู่ข้างจดหมายที่เจ้าวาดรอยปานของพี่สาวฉบับนั้น” ลิ่นเฉิงโย่วหยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งออกมาจากกล่องใส่จดหมาย ปิ่นนี้ประดับทองคำและหยกวาววับ มองภายนอกไม่ต่างอะไรกับปิ่นทั่วไป ทว่าปลายปิ่นแหลมคมกว่าปกติคล้ายเข็มเล่มยาว หากลองนำมาส่องใต้แสงโคมไฟจะเห็นว่าบนปลายปิ่นยังมีคราบเลือดสีเข้มแห้งกรังติดอยู่”
บนแผ่นหลังทุกคนค่อยๆ สัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือก