อู่ฉี่จ้องมองปิ่นปักผมอันนั้นเขม็ง
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียน วันนี้นักชันสูตรไปตรวจสอบบาดแผลของคุณหนูใหญ่อู่แล้ว พอกลับมาเขาว่าอย่างไรบ้าง”
เหยียนว่านชุนมองอู่ฉี่อย่างเย็นชา “นักชันสูตรบอกว่ายายเฒ่าหวังเล่นเล่ห์กลไว้ที่ปลายปิ่นแต่แรกแล้ว บาดแผลจากการใช้ปิ่นอันนี้กรีดผิวแล้วจะเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ต่อให้บาดแผลสมานกันอย่างรวดเร็วก็จะหลงเหลือรอยแผลเป็นจางๆ รูปพระจันทร์เสี้ยวเอาไว้ ปิ่นปักผมสามารถทำปลอมตบตา แต่บาดแผลที่เจ้าทิ้งเอาไว้บนร่างพี่สาวกับมือไม่มีทางปลอมไปได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานที่วันหน้าจะใช้มัดตัวเจ้าอย่างแน่นหนา นอกจากนี้ที่บ้านของยายเฒ่าหวังยังเก็บจดหมายที่เจ้าเคยเขียนถึงจิ้งเฉินซือไท่ในอดีตเอาไว้ไม่น้อย เจ้ามักเขียนจดหมายบ่นเรื่องจุกจิกหยุมหยิมในบ้านตนเองไปบ่อยๆ หลายเรื่องเคยเกิดขึ้นเมื่อห้าหกปีก่อน คนนอกไม่รู้ คนในบ้านเจ้าคิดว่าคงยังจำได้ เจ้าพร่ำบอกไม่หยุดว่ามีคนโยนความผิดให้เจ้า แต่ห้าหกปีที่แล้วเจ้าเพิ่งจะสิบขวบ หากตอนนั้นก็เริ่มปลอมลายมือเจ้าเขียนจดหมายจะไม่เร็วเกินไปสักหน่อยหรือ”
อู่ฉี่ใบหน้าซีดเผือดยิ่ง
ลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะเย้ยหยัน “คิดไม่ถึงใช่หรือไม่ เพื่อจะจัดการกับเจ้า จิ้งเฉินซือไท่ให้บริวารวางแผนสำรองเอาไว้นานแล้ว ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ชั่วขณะที่เจ้าตัดสินใจจะคบหากับ ‘มารร้าย’ เป็นต้นมาก็สมควรเตรียมพร้อมที่จะถูก ‘มารร้าย’ ทวงรางวัลตอบแทนไว้ด้วย พวกนางลำบากลำบนช่วยให้เจ้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็เพื่อตักตวงผลประโยชน์จากเรื่องนี้ ไม่ใช่เพื่อโดนเจ้าหันมาแว้งกัดในวันหน้า มีเพียงหยิบหลักฐานที่แน่นหนาจนเจ้าไม่อาจปฏิเสธได้ออกมาถึงสามารถบีบคุณหนูรองอู่ให้อยู่ในกำมือชนิดที่ว่าดิ้นไม่หลุดได้ เสียแรงที่เจ้าทุ่มเทความคิดวางแผน สุดท้ายยังเอาชนะมารร้ายไม่ได้”
ขณะที่เอ่ยปากก็ให้เจ้าหน้าที่ศาลพาตัวอู่ฉี่มาตรงหน้าเพื่อแยกแยะปิ่นปักผมเอง
อู่ฉี่หน้าเปลี่ยนสีไปมา จู่ๆ ก็ตวาดเสียงดังลั่น “อย่าเข้ามานะ!”
“หากเจ้ายังไม่ยอมรับ ข้างในกล่องนี้ยังมีหลักฐานอยู่อีกมาก” ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยอย่างไม่แยแส “ยังต้องการให้ข้าแสดงหลักฐานทีละชิ้นหรือไม่”
ภายในงานเลี้ยงเงียบกริบไร้สุ้มเสียง ทุกคนต่างกลั้นหายใจเฝ้ามองอู่ฉี่ เทียบกับแววตาตกตะลึงของพวกอาจารย์ใหญ่หลิว แววตาของบรรดาสหายร่วมเรียนซับซ้อนยิ่งกว่า บ้างก็เกลียดชัง บ้างก็ตื่นตระหนก บ้างก็สับสน และที่มากที่สุดคือความเสียใจ
ทรวงอกอู่ฉี่ขยับขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด นางหลุบสายตาลงอย่างเอือมระอา “ไม่จำเป็นหรอก ข้ายอมรับ ข้าเป็นคนทำเอง”
เสียงของนางยังไม่ทันเลือนหาย อยู่ๆ ศาลานั่งเล่นฝั่งตะวันตกก็มีคุณชายหน้าหยกผู้หนึ่งเดินออกมา ไม่รู้ว่ากำลังโศกเศร้าถึงขีดสุดหรือผิดหวังจนหัวใจปวดร้าว เดิมทีกิริยาท่าทางสง่าภูมิฐาน ยามนี้ประหนึ่งถูกคนออกหมัดต่อยเต็มแรง ฝีเท้าซวนเซ ใบหน้าซีดขาว กว่าจะเดินมาข้างหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย กลับลืมว่าต้องคุกเข่าถวายบังคมฮ่องเต้กับฮองเฮา
คนผู้นี้คืออู่หยวนลั่ว เขามาถึงนานแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเพียงความเข้าใจผิด จนกระทั่งได้ยินกับหูว่าอู่ฉี่ยอมรับ
“เจ้าเป็นคนทำ?” อู่หยวนลั่วจ้องหน้าอู่ฉี่ไม่วางตา “เพราะอะไร นางเป็นพี่สาวของเจ้านะ!”
“เพราะอะไรน่ะหรือ” ฉับพลันนั้นอู่ฉี่ก็เปล่งเสียงสูงขึ้น “ก็พวกท่านบังคับข้าเองไม่ใช่หรือไร! รู้หรือไม่ว่าตอนข้าสิบขวบเหตุใดต้องวิ่งไปจุดธูปขอพรถึงอารามนักพรตหญิงอวี้เจิน เพราะพวกท่านลำเอียงรักพี่สาวมากกว่าอย่างไรเล่า ข้าขอพรให้พวกท่านรักข้ามากกว่านี้สักนิด ไม่อยากให้ในสายตามีแต่พี่สาว หากไม่เป็นเช่นนี้จิ้งเฉินซือไท่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้หลอกล่อให้ข้าเดินทางผิดได้อย่างไร”
อู่หยวนลั่วราวกับถูกบีบคอเอาไว้ พูดอะไรไม่ออกไปในพริบตา
“ท่านกับท่านพ่อท่านแม่ลำเอียงเพียงใด ในใจพวกท่านไม่เคยรับรู้เลยใช่หรือไม่” อู่ฉี่หัวเราะเยาะหยัน “ตกลงกันแล้วว่าจะให้ข้าเข้าร่วมการคัดเลือกพระชายาองค์รัชทายาท แล้วผลเป็นเช่นไร พอพี่สาวถูกยกเลิกการแต่งงาน พวกท่านก็หาคู่ครองที่ดียิ่งกว่าให้ทันที ท่านพ่อบอกว่าหน้าตากับความสามารถข้าสู้พี่สาวไม่ได้ ถึงขั้นเข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์ขอพระราชโองการเปลี่ยนให้พี่สาวเข้าร่วมแทนโดยตรง! พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเพื่อช่วงเวลานี้แล้วข้าต้องเตรียมตัวมานานเพียงใด ไม่สนใจถามข้าสักคำไม่พอ กลับทำลายทุกอย่างที่ข้าต้องการ พวกท่านไม่เคยละอายใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ขนาดพี่สาวก็ยังรู้สึกว่าถูกต้องเหมาะสมแล้ว อยู่ในครอบครัวนี้ข้านับเป็นตัวอะไรกันแน่ พวกท่านยังมีหัวใจอยู่บ้างหรือไม่”
“แต่เจ้าไม่เคยบอกเลยว่าอยากเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นพระชายาองค์รัชทายาท” น้ำเสียงอู่หยวนลั่วแหบแห้งเหมือนถูกกระดาษทรายเสียดสี “เจ้าเคยบอกตั้งหลายครั้งว่าต้องการเลือกสามีด้วยตนเอง ตอนแรกพอท่านพ่อบอกว่าจะให้เจ้าไปเข้าร่วม ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่ยินยอม เคยช่วยคัดค้านสุดกำลังด้วยซ้ำ”